วันอาทิตย์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ความสำคัญของธัมมจักกัปปวัตตนสูตร

โดย พระกิตติ กิตฺติสาโร

นักศึกษาปริญญาเอก มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย

            ๑. ความนำ
          ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร คือ พระสูตรที่เป็นปฐมเทศนาของพระพุทธเจ้าถือว่า
เป็นพระสูตรที่สำคัญอย่างยิ่ง ซึ่งเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา และเป็นพระสูตรที่ตอบโจทวัตถุประสงค์ของพระพุทธเจ้าเพื่อจะให้มนุษย์มีดวงตาสว่าง เห็นตามความเป็นจริงของชีวิตแล้วสามารถดับทุกข์ในชีวิตประจำวันของมนุษย์ เพราะพระสูตรนี้มีเนื้อหาเรื่องอริยสัจ ๔ ไม่ว่าผู้ใดหากว่าได้บรรลุอริยสัจ ๔ ก็จะสามารถดับความทุกข์ตน สามารถเข้าใจความจริงของชีวิต และสามารถละความเห็นผิดที่นำพามนุษย์ไปทางที่ผิด ที่มนุษย์ทุกคนต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ก็คือ เพราะไม่ได้บรรลุอริยสัจ ๔ 
          พระสูตรนี้มีความสำคัญต่อผู้ปฎิบัติธรรมเป็นอย่างมาก เพราะปรากฏใจ
ความเรื่องที่สุดสองอย่าง หรือทางปฏิบัติสุดโต่ง ๒ อย่างอันบรรพชิตไม่ควรเสพ และอริยสัจ ๔
          ๒. ทางปฏิบัติสุดโต่ง ๒ อย่าง
            เรื่องที่สุดสองอย่าง หรือทางปฏิบัติสุดโต่ง ๒ อย่างอันบรรพชิตไม่ควรเสพ คือ 
          พระผู้มีพระภาครับสั่งกะพระปัญจวัคคีย์ว่า "ดูกรภิกษุทั้งหลาย ที่สุดสอง
อย่างนี้อันบรรพชิตไม่ควรเสพ คือ การประกอบตนให้พัวพันด้วยกามสุขในกามทั้งหลาย เป็นธรรมอันเลว เป็นของชาวบ้านเป็นของปุถุชน ไม่ใช่ของพระอริยะ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์"(วิ.ม.๖/๑๓/๔๔) ผู้ที่พัวพันด้วยกามสุขนั้น ประกอบด้วยความโลภทำให้จิตใจมัวหมอง และเป็นเครื่องปิดกั้นหรือขัดขวางไม่ให้บรรลุความดี ไม่เปิดโอกาสให้ทำความดี และเป็นเครื่องกั้นความดีไว้ไม่ให้เข้าถึงจิต เป็นอุปสรรคสำคัญทำให้ผู้ปฏิบัติธรรมไม่สามารถบรรลุธรรมได้ หรือทำให้เลิกล้มความตั้งใจปฏิบัติไป ดังนั้นพระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า บรรพชิตไม่ควรเสพกาม
          อีกประการหนึ่งที่พระพุทธเจ้าทรงห้ามไม่ให้ทำก็คือ การทรมานตน 
เพราะว่าพระปัญจวัคคีย์และสังคมสมัยนั้นบางส่วนมีความเชื่อกันว่า หากว่าทรมานตนถือว่าเป็นทำลายกิเลสต่าง ๆ ให้หมดสิ้นจากจิต ฉะนั้นพระโพธิสัตว์ก็ทรงเคยปฏิบัติแบบทรมานตนมาก่อน และทรงทราบว่า ไม่ทำให้เกิดประโยชน์  
          เมื่อพระปัญจวัคคีย์พากันบำรุงพระโพธิสัตว์ผู้ตั้งความเพียรยิ่งใหญ่อยู่ถึง 
๖ ปี ด้วยวัตรปฏิบัติมีกวาดบริเวณเป็นต้น ด้วยหวังอยู่ว่า พระโพธิสัตว์จักทรงเป็นพระพุทธเจ้าบัดนี้ จักทรงเป็นพระพุทธเจ้าบัดนี้ อยู่ประจำสำนักของพระโพธิสัตว์นั้น 
          แม้พระโพธิสัตว์ก็ทรงยับยั้งอยู่ด้วยงาและข้าวสารเมล็ดเดียว ด้วยทรง
หมายจักทำทุกกรกิริยาอันถึงที่สุด ได้ทรงตัดอาหารโดยประการทั้งปวง แม้เทวดาทั้งหลายก็นำทิพโอชะใส่ลงตามขุมขนทั้งหลาย ครั้งนั้น พระวรกายที่มีสีทองของพระองค์ผู้มีพระกายถึงความซูบผอมอย่างยิ่ง เพราะไม่มีอาหารนั้นก็มีสีดำ พระมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ก็ถูกปกปิด ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์ทรงถึงที่สุดแห่งทุกกรกิริยา ทรงดำริว่า นี้ไม่ใช่ทางแห่งพระโพธิญาณ มีพระประสงค์จะเสวยอาหารหยาบ จึงเสด็จเข้าไปบิณฑบาต ณ คามนิคมทั้งหลาย เสวยพระกระยาหาร
          ลำดับนั้น พระมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ก็กลับเป็นปกติ พระวรกายมีสีเหมือน
สีทอง ขณะนั้น ภิกษุปัญจวัคคีย์เห็นพระองค์ ก็คิดว่า ท่านผู้นี้แม้ทำทุกกรกิริยามา ๖ ปีก็ไม่อาจแทงตลอดพระสัพพัญญุตญาณได้ มาบัดนี้ยังเที่ยวบิณฑบาตไปในคามนิคมราชธานีทั้งหลาย บริโภคอาหารหยาบจักอาจได้อย่างไร ท่านผู้นี้มักมากคลายความเพียร ประโยชน์อะไรของเราด้วยท่านผู้นี้ แล้วก็ละพระมหาบุรุษ พากันไปยังป่าอิสิปตนะ กรุงพาราณสี (ขุ.พุทฺธ. ๗๓/๗๑๙.) ดังนั้น พระพุทธเจ้าจึงทรงตรัสว่า  "การประกอบความเหน็ดเหนื่อยแก่ตน เป็นความลำบาก ไม่ใช่ของพระอริยะ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์" (วิ.ม.๖/๑๓/๔๔.)
       ๓. ข้อปฏิบัติที่เป็นทางสายกลางในพระพุทธศาสนา
       หลังจากพระพุทธเจ้าตรัสเรื่องสุดสองอย่างอันบรรพชิตไม่ควรเสพแล้ว ต่อจากนั้น 
พระพุทธเจ้ามีความประสงค์ชี้แจงวิธีปฏิบัติเพื่อจะได้เกิดดวงตาเห็นธรรม จึงตรัสว่า "ปฏิปทาสายกลางนั้น ได้แก่อริยมรรค มีองค์ ๘ นี้แหละ คือ ปัญญาอันเห็นชอบ ๑ ความดำริชอบ ๑ เจรจาชอบ ๑ การงานชอบ ๑ เลี้ยงชีวิตชอบ ๑ พยายามชอบ ๑ ระลึกชอบ ๑ ตั้งจิตชอบ ๑ (วิ.ม.๖/๑๓/๔๕.) ปฏิปทาสายกลางดังกล่าว  ถือว่าสำคัญสำหรับการปฏิบัติอย่างยิ่ง แม้ว่าขอพรอย่างไรก็ หากไม่ปฏิบัติตามอริยมรรคองค์ ๘ จะไม่มีทางหลุดพ้นจากทุกข์ ถ้าปฏิบัติตามมรรคองค์ ๘ แม้ว่าไม่เจอพระพุทธเจ้าก็สามารถบรรลุธรรมเช่นกัน เช่น ธรรมเนียมของพระปัจเจกพุทธเจ้า ไม่มีการอุบัติขึ้นในสมัยสัมมาสัมพุทธกาล แต่ก็สามารถบรรลุธรรมที่หลุดพ้นจากได้
          สุภัททปริพาชกได้กราบทูลว่า 
                   ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ สมณพราหมณ์เหล่านี้ใดเป็นเจ้าหมู่ เจ้าคณะ 
เป็นคณาจารย์ มีชื่อเสียง มียศ เป็นเจ้าลัทธิ ชนเป็นอันมาก สมมติว่าเป็นคนดี คือบูรณกัสสป  มักขลิโคสาล อชิตเกสกัมพล ปกุธกัจจายนะ สัญชัยเวลัฏฐบุตร นิครณฐนาฏบุตรสมณ พราหมณ์เหล่านั้นทั้งหมด ได้ตรัสรู้ตามปฏิญญาของตน ๆ หรือว่าทั้งหมดไม่ได้ตรัสรู้ หรือ ว่าบางพวกไม่ได้ตรัสรู้ ฯ
          พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า "อย่าเลย สุภัททะ ที่ข้อถามนั้นงดเสียเถิด 
ดูกรสุภัททะ เราจักแสดงธรรมแก่ท่าน ท่านจงตั้งใจฟังธรรมนั้นจงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว"
          สุภัททปริพาชกทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาค
ได้ตรัสว่า
                    ดูกรสุภัททะ ในธรรมวินัยใด ไม่มี   อริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ 
ในธรรมวินัยนั้นไม่มีสมณะที่ ๑ สมณะที่ ๒ สมณะที่ ๓ หรือสมณะที่ ๔ ในธรรมวินัยใด มีอริยมรรค ประกอบด้วยองค์ ๘ ในธรรมวินัยนั้น มีสมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ หรือที่ ๔ ดูกรสุภัททะ ในธรรมวินัยนี้ มีอริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ ใน ธรรมวินัยนี้เท่านั้น มีสมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ หรือที่ ๔ ลัทธิอื่น ๆ ว่างจากสมณะผู้รู้ทั่วถึงก็ภิกษุเหล่านี้พึงอยู่โดยชอบ โลกจะไม่ พึงว่างจากพระอรหันต์ทั้งหลาย ฯ
(ที.ม. ๑๓/๑๓๘/๓๑๘.)
          พุทธวจนดังกล่าว มายความว่า ไม่ว่าผู้ใด แม้ว่าไม่เคยรู้จักพระพุทธเจ้าก็ หากปฏิบัติตามอริยมรรคมีองค์ ๘ ก็จะได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์ เช่น พระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้น จะอุบัติขึ้นนอกพุทธกาล ท่านไม่เคยได้พบสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่เคยฟังธรรมของพระพุทธเจ้า แต่ก็เพราะท่านเหล่านั้น มีปัญญาแก่กล้า สามารถปฏิบัติตามมรรคองค์ ๘ แล้วมีการตรัสรู้อริยสัจด้วยพระองค์เองเช่นกัน แต่ไม่สามารถตรัสให้มนุษย์เข้าใจอริยสัจอย่างที่ท่านบรรลุ ดังนั้นในพระสูตรจึงกล่าวว่า
          "พระปัจเจกพุทธเจ้า สร้างบุญในพระพุทธเจ้าทั้งปวง ยังไม่ได้โมกขธรรมในศาสนาของพระชินเจ้าด้วยมุข คือ ความสังเวชนั้นแล ท่านเหล่านั้นเป็นนักปราชญ์ มีปัญญาแก่กล้า ถึงจะเว้นพระพุทธเจ้าก็ย่อมบรรลุปัจเจกโพธิญาณได้ แม้ด้วยอารมณ์นิดหน่อย ในโลกทั้งปวง เว้นเราแล้ว ไม่มีใครเสมอพระปัจเจกพุทธเจ้าเลย"[๖]
          ๔. อริยสัจ ๔
          ต่อมาพระพุทธเจ้ามีความประสงค์จะแสดงว่า ปัญญาอันเห็นชอบ เป็นต้นไปซึ่งเรียกว่าอริยมรรคมีองค์ ๘ หรือ อริยสัจ ๔ ที่เรียกว่าวิธีปฏิบัติเพื่อจะบรรลุธรรมว่าเป็นเช่นไร จึงตรัสตั้งต่อไปนี้ว่า "ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้แลคือปฏิปทาสายกลางนั้น ที่ตถาคตได้ตรัสรู้แล้วด้วยปัญญาอันยิ่ง ทำดวงตาให้เกิด ทำญาณให้เกิด ย่อมเป็นไปเพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้เพื่อนิพพาน"
          (๑) "ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อนี้แลเป็นทุกขอริยสัจ คือ ความเกิดก็เป็นทุกข์ ความแก่ก็เป็นทุกข์ ความเจ็บไข้ก็เป็นทุกข์ ความตายก็เป็นทุกข์ ความประจวบด้วยสิ่งที่ไม่เป็นที่รักก็เป็นทุกข์ ความพลัดพรากจากสิ่งเป็นที่รักก็เป็นทุกข์ ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้นก็เป็นทุกข์โดยย่นย่อ อุปาทานขันธ์ ๕ เป็นทุกข์"(วิ.ม.๖/๑๓/๔๕. ) ที่พระพุทธเจ้าตรัสทุกข์อริยสัจก่อน ทุกขสมุทัยอริยสัจก็คือ มีความประสงค์ที่จะทรงแสดงให้ผู้ที่ยังประมาทเหล่านั้นเกิดสติ เกิดความสังเวช เข้าใจเรื่องชีวิตตามความเป็นจริง เพราะบางคนขณะที่ยังมีสุขภาพแข็งแรง มีครอบครัวที่ดีอยู่ จะคิดว่าชีวิตของเขามีแต่ความสุข ที่จริงแล้วไม่มีผู้ใดสามารถหนี้ทุกข์ดังกล่าวได้ ทุกข์นี้พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ทุกข อริยสัจนี้นั้นแล ควรกำหนดรู้"
          (๒) เมื่อเกิดความสังเวชแล้ว เพื่อจะได้แสดงถึงเหตุของทุกข์ พระพุทธเจ้าจึงตรัสสมุทัยต่อ "ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อนี้แลเป็นทุกขสมุทัยอริยสัจ คือตัณหาอันทำให้เกิดอีก ประกอบด้วยความกำหนัดด้วยอำนาจความเพลิน มีปกติเพลิดเพลินในอารมณ์นั้น ๆ คือ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา ( วิ.ม.๖/๑๓/๔๕.) หมายความว่า ความทุกข์ของมนุษย์เราไม่ใช้พระพรหม หรือเทพพระเจ้าสร้างให้ ผู้ที่สร้างให้เกิดทุกข์ก็คือ ตัณหานี้เอง ตัณหาจะแบ่งออกเป็น ๓ ประการ คือ
          (๑) "กามตัณหา ความทะยานอยากในกาม, ความอยากได้กามคุณ คือสิ่งสนองความต้องการทางประสาททั้งห้า" (พจนานุกรมพุทธศาสตร์) คือ ชอบรูป ชอบเสียง ชอบกลิ่น ชอบรส ชอบโผฏฐัพพะ แสวงหาความสุขเพื่อตนจะได้เสพ
          (๒) "ภวตัณหา ความทะยานอยากในภพ, ความอยากในภาวะของตัวตนที่จะได้  จะเป็นอย่างใดอย่างหนึ่ง  อยากเป็นอยากคงอยู่ตลอดไป,  ความใคร่อยากที่ประกอบด้วยภวทิฏฐิ  สัสสตทิฏฐิ(ความเห็นผิดว่าเที่ยง)" (พจนานุกรมพุทธศาสตร์) 
          (๓) "วิภวตัณหา ความทะยานอยากในวิภพ, ความอยากในความพรากพ้นไปแห่งตัวตนจากความเป็นอย่างใดอย่างหนึ่งอันไม่ปรารถนา  อยากทำลาย อยากให้ดับสูญ, ความใคร่อยากที่ประกอบด้วยวิภวทิฏฐิหรืออุจเฉททิฏฐิ" (พจนานุกรมพุทธศาสตร์) สรุปได้ว่า สมุทัยคือ ความยึดมั่นถือมั่น ที่เรียกว่าตัณหานั้นเอง หากว่าสามารถละตัณหา ๓ ประการนี้แล้วทุกข์ก็จะไม่เกิดขึ้นอีก
          (๓) ต่อมา เพื่อจะแสดงถึง ความดับทุกข์ (ทุกขนิโรธอริยสัจ) หรือ นิพพานนั้น พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า "ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อนี้แลเป็นทุกขนิโรธอริยสัจ คือ ตัณหานั่นแลดับ โดยไม่เหลือด้วยมรรคคือวิราคะ สละ สละคืน ปล่อยไป ไม่พัวพัน (วิ.ม.๖/๑๓/๔๕.)" คำว่า นิพพาน มีวจนัตถะ หรือวิเคราะห์ มีความหมายมากมายหลายนัย จะนำมากล่าวแต่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น กล่าวอย่างธรรมดาสามัญที่สุด ก็ว่า นิพพาน แปลว่า ตัณหาดับสนิท คำว่าดับสนิท หมายความว่า เมื่อดับไปแล้ว ไม่มีการเกิดขึ้นได้อีกเลย อีกนัยหนึ่งก็ว่า กิเลสดับสิ้นไปเมื่อใด เมื่อนั้นแหละ คือถึงซึ่งนิพพาน คำว่า ดับสิ้น หมายความว่า ต้องดับสนิท ข้อสำคัญไม่ได้อยู่ที่ว่า ตัณหาหรือกิเลสดับ แต่สำคัญตรงที่ไม่เกิด ถ้าอะไร ๆ ก็ไม่เกิดอีกแล้ว นั่นแหละ คือ นิพพาน นิพพาน มาจากคำว่า นิ ซึ่งแปลว่า พ้นจาก และคำว่า วาน แปลว่า ตัณหา ดังนั้น คำว่า นิพพาน จึงแปลว่า ธรรมที่พ้นจากตัณหา (คู่มือพระอภิธัมมัตถสังคหะปริจเฉทที่ ๖)
          (๔) ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อนี้แลเป็นทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ คือ อริยมรรคมีองค์ ๘ นี้แหละ คือ ปัญญาอันเห็นชอบ ๑ ความดำริชอบ ๑ เจรจาชอบ ๑ การงานชอบ ๑ เลี้ยงชีวิตชอบ ๑ พยายามชอบ ๑ ระลึกชอบ ๑ ตั้งจิตชอบ ๑ (วิ.ม.๖/๑๓/๔๕.) หากสรุปแล้วก็ ๑) เจรจาชอบ  ๒) การงานชอบ และ ๓) เลี้ยงชีวิตชอบนี้คือ ศีลขันธ์อันประเสริฐ  ๑) พยายามชอบ ๒) ระลึกชอบ และ๓) ตั้งจิตชอบนี้คือ สมาธิขันธ์อันประเสริฐ ปัญญาอันเห็นชอบ และ ความดำริชอบ ๒ อย่างนี้คือ ปัญญาขันธ์อันประเสริฐ
          ศีลอันประเสริฐนั้น คือ รักษาศีล ๔ อย่างให้บริสุทธิ์ คือ  ๑) รักษาศีลปฎิบัติในพระปาฏิโมกข์  ๒) สำรวมรักษาอินทรีย์หก ๓) เลี้ยงชีวิตดโดยชอบธรรมไม่ทำเนสนาที่พระพุทธเจ้าตรัสห้าม ๔) พิจารณาก่อนจึงบริโภคซึ่งปัจจัยสี่  
          สมาธิขันธ์อันประเสริฐ คือ อุปจารสมาธิ และอัปปนาสมาธิ
          ปัญญาขันธ์อันประเสริฐ คือ การกำหนดรู้การเกิดและการดับของนามรูป
(ที.สี. ๑๒/๓๑๗/๑๙๔.)
          สรุปแล้ว ๑) ทุกขอริยสัจ ๒) ทุกขสมุทยอริยสัจ ๓) ทุกขนิโรธอริยสัจ และ ๔) ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ นี้เรียกว่าอริยสัจ ๔ คำสอนของพระพุทธเจ้าทั้ง ๔๕ พรรษานี้หากสรุปแล้วมีเพียงแค่ อริยสัจ ๔ นี้เอง เมื่อมีความเข้าใจอริยสัจ ๔ ดังกล่าวนี้ถือว่า เป็นพระโสดาบันแล้ว เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสธัมมจักกัปปวัตตนสูตรจบแล้วพระองค์ท่านทรงเปล่งพระอุทานว่า "ท่านผู้เจริญ โกณฑัญญะ ได้รู้แล้วหนอ" คำว่าได้รู้แล้วหนอนี้เองพุทธศาสนิกชนเรามาตีความว่า ท่านโกณฑัญญะบรรลุพระโสดาบันแล้วเป็นพระภิกษุองค์แรกในสาวกของพระพุทธเจ้า
       เพื่อนทำความเข้าใจว่า เมื่อบรรลุอย่างไรก่อน จึงจะเรียกว่าการบรรลุอย่างแท้จริง และเพื่อเป็นการเครื่องชี้วัดของการบรรลุอริยสัจ ๔ ดังนั้นพระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า "เมื่อใดแล ปัญญาอันรู้เห็นตามเป็นจริงของเรา ในอริยสัจ ๔ นี้ มีรอบ ๓ มีอาการ ๑๒ อย่างนี้ หมดจดดีแล้ว ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อนั้น เราจึงยืนยันได้ว่า เป็นผู้ตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณ อันยอดเยี่ยมในโลก พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณะ พราหมณ์ เทวดาและมนุษย์" (วิ.ม.๖/๑๓/๔๗.) อริยสัจ ๔ นี้ มีรอบ ๓ มีอาการ ๑๒ พระพุทธเจ้าตรัสว่า
          "ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า นี้ทุกขอริยสัจ ฯลฯ ทุกขอริยสัจนี้นั้นแล ควรกำหนดรู้ ฯลฯ ทุกขอริยสัจนี้นั้นแล เราก็ได้กำหนดรู้แล้ว"
          "ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า นี้ทุกขสมุทัยอริยสัจ ฯลฯ ทุกขสมุทัยอริยสัจนี้นั้นแล ควรละเสีย ฯลฯ ทุกขสมุทัยอริยสัจนี้นั้นแล เราได้ละแล้ว
             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า นี้ทุกขนิโรธอริยสัจ ฯลฯ ทุกขนิโรธอริยสัจนี้นั้นแล ควรทำให้แจ้ง ฯลฯ ทุกขนิโรธอริยสัจนี้นั้นแล เราทำให้แจ้งแล้ว.
             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ ฯลฯ ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจนี้นั้นแล ควรให้เจริญ ฯลฯ  ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจนี้นั้นแล เราให้เจริญแล้ว (วิ.ม.๖/๑๓/๔๖-๔๗.)
          เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสไวยากรณภาษิตนี้อยู่ ดวงตาเห็นธรรม ปราศจากธุลีปราศจากมลทิน ได้เกิดขึ้นแก่ท่านพระโกณฑัญญะว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวล มีความดับเป็นธรรมดา     ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงเปล่งพระอุทานว่า "ท่านผู้เจริญ โกณฑัญญะ ได้รู้แล้วหนอ ท่านผู้เจริญ โกณฑัญญะได้รู้แล้วหนอ" เพราะเหตุนั้น คำว่า อัญญาโกณฑัญญะนี้ จึงได้เป็นชื่อ ของท่านพระโกณฑัญญะ ด้วยประการฉะนี้(วิ.ม.๖/๑๓/๔๙.)นี้คือเป็นการแสดงว่า  ธัมมจักกัปปวัตตนสูตรเป็นพระสูตรที่ประกาศคำสอนของพระพุทธเจ้า  หากว่าผู้ใดเข้าใจพระสูตรนี้ก็ถือว่าเข้าใจคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว ฉะนั้นพระเทพ และพระพรหมต่าง ๆ จึงประกาศข่าวเรื่องพระพุทธเจ้าตรัสธัมมจักกัปวัตตนสูตรทั่วไปในโลกมนุษย์ เทวโลก และพรหมโลก    
          ๕. ประโยชน์ของการบรรลุธรรมอริยสัจ ๔
          ประโยชน์ของการบรรลุคำสอนของพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นอริยสัจ ๔ ที่พระอริยบุคคลจะได้รับนั้นพระองค์ท่านเปรียบน้ำที่วิดด้วยปลายหญ้าคา คือ
          ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สระโบกขรณียาว ๕๐ โยชน์ กว้าง ๕๐ โยชน์ ลึก ๕๐ โยชน์มีน้ำเต็มเสมอขอบ  กาดื่มกินได้   บุรุษพึงวิดน้ำขึ้นจาก สระโบกขรณีนั้นด้วยปลายหญ้าคาน้ำ ในสระโบกขรณีนี้แหละมากกว่าน้ำที่บุรุษ วิดขึ้นด้วยปลายหญ้าคามี ประมาณน้อย   
           ฉันนั้นเหมือนกัน ความทุกข์ที่หมดไปสิ้นไปนี้แหละของบุคคลผู้เป็นพระอริยสาวกสมบูรณ์ด้วยทิฏฐิตรัสรู้แล้วเป็นทุกข์มากกว่า ส่วนที่เหลืออยู่มีประมาณน้อยความที่ทุกข์เป็นสภาพยิ่งใน ๗ อัตภาพ(สํ.นิ. ๒๖/๓๑๓/๓๙๕.)
         คือ ผู้ที่บรรลุคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริงนั้น ถ้าเป็นพระโสดาบัน สามารถละทิฏฐิ และวิจิกิจฉา ไม่มีความเห็นผิด รู้ในสิ่งที่เป็นประโยชน์ และสิ่งที่ไม่มีประโยชน์อย่างแท้จริง รู้จักวิธีการดำเนินชีวิตในปัจจุบันอย่างถูกต้อง ภพหน้าอย่างมากก็มีความทุกข์อีกในกามภูมิแค่ ๗ ภพ แล้วจะถึงพระนิพพาน สำหรับพระสกทาคามี จะกลับมาเกิดในกามภูมิเพียงครั้งเดียว จะถึงพระนิพพาน  พระอนาคามีเป็นผู้ที่ไม่เกิดในกามภูมิอีก แต่จะเกิดในพรหมโลกแล้วจะนิพพาน ส่วนพระอรหันต์นั้นสามารถละสังโยชน์ได้ครบ ๑๐ ประการ เพราะผลของการบรรลุอริยสัจ ๔ ดังนั้น พระพุทธเจ้าจึงตรัสอานิสงส์ของการบรรลุอริยสัจ ๔ ในธัมมจัก-กัปปวัตตนสูตรว่า " ปัญญาอันรู้เห็นได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราว่า ความพ้นวิเศษของเราไม่กลับกำเริบ ชาตินี้เป็นที่สุด ภพใหม่ไม่มีต่อไป"
          ๖. บทสรุป
       จากได้ศึกษาธัมมจักกัปปวัตตนสูตรแล้ว สรุปได้ว่า ความจริงของชีวิต มีเพียงแค่ ๑) ทุกข์ ๒) เหตุของทุกข์  ๓) การดับทุกข์ และ ๔) วิธีดับทุกข์ที่เรียกว่าปฏิปทาทางสายกลาง ความจริงดังกล่าวจะไม่มีวันเปลี่ยนไป และไม่ว่านับถือพระพุทธศาสนาหรือไม่ จะไม่มีผู้ใดสามารถโต้เถียงได้ เมื่อได้ฟังพระสูตรนี้แล้วควรทำความเข้าใจอย่างจริงจัง เมื่อพิจารณาพระสูตรนี้ให้เข้าใจแล้ว จะสามารถละความเห็นผิดที่ทำให้ชีวิตตนได้เดือดร้อนแล้ว ชีวิตจะได้อยู่เย็นเป็นสุขต่อไป 

บรรณานุกรม
มหามกุฏราชวิทยาลัยมูลนิธิ. พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับสยามรัฐ เล่ม ๖, ๑๓, ๒๖, ๗๐, ๗๓, กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๒๕.
พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุโต), พจนานุกรมพุทธศาสตร์, (กรุงเทพมหานคร : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลง-      กรณราชวิทยาลัย, พิมพ์ครั้งที่ ๑๒, ๒๕๔๖),    
--------- "คู่มือพระอภิธัมมัตถสังคหะปริจเฉทที่ ๖", <www.thepathofpurity.com > (๒๙ มิถุนายน     ๒๕๕๗) 



                       
        
         

วิธีการดูแลจิต ตามหลักจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน

พระกิตติ กิตฺติสาโร 
นักศึกษาปริญญาเอก มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย
          ผู้ที่ดูแลจิตใจให้เป็นโยนิโสมนสิการนั้นจะได้อยู่อย่างเป็นสุข  ตรงกันข้ามถ้าจิตใจไม่เป็นโยนิโสมนสิการเมื่อไรมีชีวิตก็จะลำบากในการใช้ชีวิตประจำวัน  ดังนั้นการดูแลจิตให้ถูกวิธีถือว่าเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง จึงดังใจจะศึกษาเรื่อง วิธีการดูแลจิตตามหลักจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน ก่อนจะศึกษาเรื่องจิตตานุปัสสนานั้น เพื่อจะได้เป็นนามรูปปริจเฉทญาณ ญาณกำหนดพิจารณารู้จักแยกรูปแยกนามออกจากกัน จะศึกษาความหมายของจิตเป็นอันดับแรก   
            ความหมายของจิต  คือ รับรู้อารมณ์  จำ คิด จิตเป็นตัวรู้ สิ่งที่จิตรู้นั้นเป็นอารมณ์ จิตรู้สิ่งใด สิ่งนั้นแหละคืออารมณ์ อารมณ์มี ๖ คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพ และธัมมารามณ์ ธัมมารมณ์นั้นแบ่งเป็น ๖ คือ ประสาท ๑ เจตสิก ๑ สุขุมรูป ๑ นิพพาน ๑ จิต ๑ บัญญัติ ๑[๑] สมตามนัยขยายความตามบาลีว่า  จิตฺเตตีติ จิตฺตํ อารมฺมณํ วิชานาตีติ อตฺโถ ฯ [๒] ซึ่งแปลเป็นใจความว่า ธรรมชาติใดย่อมคิด ธรรมชาตินั้นชื่อว่า จิต มีอรรถว่า ธรรมชาติที่รู้อารมณ์
            ลักษณะของจิตมี ๒ อย่าง คือ สามัญลักษณะ และ วิเสสลักษณะ
          (๑) สามัญญลัษณะ มี ๓ ประการคือ อนิจจลักษณะ ทุกขลักษณะ และอนัตตลักษณะ ๑) จิตนี้เป็นอนิจจัง คือไม่เที่ยง ไม่มั่นคง หมายถึงว่า ไม่ยั่งยืน ไม่ตั้งอยู่ได้ตลอดกาล ดังนั้น พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า "ยังกิญจิ สะมุทะยะธัมมัง สัพพันตัง นิโรธะธัมมันติ  สิ่งใดสิ่งหนึ่ง มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวล มีความดับเป็นธรรมดา[๓]"  ๒)จิตนี้เป็นทุกขัง คือทนอยู่ไม่ได้ เพราะเป็นสิ่งที่ไม่ยั่งยืน ทนอยู่ไม่ได้ตลอดกาล จึงมีอาการเกิดดับ เกิดดับ อยู่ร่ำไป ดังนั้น พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า "ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอสำคัญความนั้นเป็นไฉน วิญญาณเที่ยงหรือไม่เที่ยง"  พระปัญจวัคคีย์   "ไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าข้า"  พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า "ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า"  พระปัญจวัคคีย์  "เป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าข้า"[๔]  จิตนี้เป็นอนัตตา คือเป็นสิ่งที่ไม่มีตัวตน เป็นสิ่งที่บังคับบัญชาให้ยั่งยืน ให้ทนอยู่ไม่ให้เกิดดับ ก็ไม่ได้เลย ดังนั้นพระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า "สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือจะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตน (อัตตา)ของเรา"  พระปัญจวัคคีย์ "ข้อนั้นไม่ควรเลย พระพุทธเจ้าข้า"[๕]  ในอนัตตลักขณสูตร พระพุทธเจ้าตรัสเรื่อง ไม่เที่ยง เป็นทุกข์แล้ว จึงจะตรัสเรื่องอนัตตา แสดงให้เห็นว่า หากไม่เห็นเรื่อนามรูปไม่เที่ยง เป็นทุกข์ก็จะไม่เข้าใจเรื่องอนัตตา ผู้ที่เจริญอนัตตานั้นควรเป็นบุคคลผู้มีปัญญาแก่กล้า  
          (๒) ส่วนวิเสสลักษณะหรือ ลักขณาทิจตุกะของจิต ก็มีครบบริบูรณ์ทั้ง ๔ ประการคือ ๑) วิชานน ลกฺขณํ     มีการรู้อารมณ์ เป็นลักษณะ  ๒) ปุพฺพงฺคม รสํ  เป็นประธานในธรรมทั้งปวง เป็นกิจ  ๓) สนฺธาน ปจฺจุปฏฺฐานํ  มีการเกิดต่อเนื่องกันไม่ขาดสาย เป็นอาการปรากฎ  ๔) นามรูป ปทฺฏฐานํ       มีนามรูป เป็นเหตุใกล้ให้เกิด[๖] เมื่อมีการศึกษาพระอภิธัมมัตถสังคหะ ปริจเฉทที่ ๔ หรือ วิถีจิตนั้น จะได้ทำให้เข้าใจเรื่องการเกิดดับ เกิดดับต่อเนื่องของจิตกันอย่างไม่ขาดสาย
            วิถีจิต คือ แสดงความเป็นไปของจิตตามลำดับที่เกิดก่อนและหลัง ในเมื่อประสบกับอารมณ์ใหม่ ในวาระหนึ่ง ๆ วิถีจิต คือ ปัญจทวารวิถีจิต[๗] และมโนทวารวิถีจิต[๘]
          ปัญจทวารวิถีจิต คือ แสดงความเป็นของจิตตามลำดับขณะที่รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ กระทบกัน ตา หู จมูก ลิ้น กาย เช่น ปัญจทวารวิถี อติมหันตารมณ์นี้ มีจิตตุปปาทะ (คือจิตที่เกิดขึ้นในวิถี) ถึง ๑๔ ขณะ ทั้งนี้ไม่นับภวังคจิต ๓ ขณะ ซึ่งไม่ใช่จิตใน วิถีด้วย และมีวิถีจิตถึง ๗

๙ ๑๐ ๑๑ ๑๒ ๑๓ ๑๔ ๑๕
๑๖ ๑๗
ขณะจิต ๑๗
ตี
วิ
สํ
สัน
วุ
ช ช ช ช ช ช ช
ต ต
 
 
 
 
๖ ๗ ๘ ๙ ๑๐ ๑๑ ๑๒
๑๓ ๑๔
จิตตุปปาทะ ๑๔
 
 
 
วิถีจิต ๗
           
          คำอธิบายถึงขณะจิต ๑๗ ขณะ
          ขณะจิตทั้ง ๑๗ ขณะ เป็นคำสอนที่ละเอียดสุขุมมากอย่างหนึ่งในพระอภิธรรม อันเป็นเรื่องที่น่าสนใจและควรแก่การศึกษาอย่างยิ่ง ซึ่งในที่นี้จะนำมาอธิบายแต่โดยย่อ ดังนี้
         
ขณะจิตที่ ๑ อตีตภวังค์ เป็นภวังคจิตที่กระทบกับอารมณ์ทั้ง ๕ มีรูปเป็นต้น อารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง ในปัจจุบันเป็นครั้งแรก การที่จะเข้าใจอตีตภวังค์ก็จำต้องเข้าใจลักษณะของภวังคจิตเสียก่อน คือ ภวังคจิตหมายถึงจิตที่ทำหน้าที่รักษาภพชาติ คือรักษาผลของกรรมที่ถือกำเนิดมาในภพชาตินั้น ๆ และรักษารูปที่เกิดจากจิตเป็นสมุฏฐานให้ดำรงอยู่ในอาการปกติ เช่น รูปที่เกิดจากการหายใจเข้าออกเป็นต้น
          ขณะจิตที่ ๒ ภวังคจลนะ มีความเคลื่อนไหวของภวังคจิต หรืออาการที่ภวังคจิตเคลื่อนไหว เป็นภวังคจิตที่เกิดต่อจากอตีตภวังค์ มีอาการไหวคลายจากอารมณ์เก่า แต่ยังคงเป็นภวังคจิตอยู่นั่นเอง แต่ต่างกับอตีตภวังค์มีอาการไหวคลายจากอารมณ์เก่า แต่ยังคงเป็นภวังคจิตอยู่นั่นเอง แต่ต่างกับอตีตภวังค์ตรงที่มีการกระทบกับอารมณ์ใหม่แล้วเกิดความไหวขึ้นจิตดวงนี้ก็จัดเป็น วิถีมุตตจิต คือจิตที่ยังไม่ขึ้นสู่วิถีเช่นกัน
          ขณะจิตที่ ๓ ภวังคุปัจเฉทะ เป็นภวังคจิตที่เริ่มตัดขาดอารมณ์เก่า กำลังจะเตรียมตัวขึ้นสู่วิถีจิต คือภวังคจิตที่เริ่มปล่อยอารมณ์เก่าจนขาดจากอารมณ์เก่าที่ตรงกับภวังคขณะ (ขณะดับ) ของจิต แต่จิตในขณะนี้ยังรับอารมรมณ์เก่าอยู่ จึงยังไม่เป็นจิตที่ขึ้นสู่วิถี
          ขณะจิตที่ ๔ ปัญจทวาราวัชชนะ เป็นอเหตุกจิตที่เกิดขึ้นรับอารมณ์ใหม่ที่มากระทบไม่ว่าจะเป็นทางตา หู จมูก ลิ้น และ กาย ให้รู้ว่าอารมณ์ที่มากระทบนั้น เป็นอารมณ์ที่มาจากทวารไหน เพื่อเป็นปัจจัยให้สัญญาณแก่วิญญาณทางทวารนั้น ๆ ปัญจทวาราวัชชนจิตนี้ เป็นจิตที่รับอารมณ์ใหม่ในปัจจุบันเป็นครั้งแรกในวิถีหนึ่ง ๆ จึงนับเป็นจิตดวงแรกที่ขึ้นสู่วิถีรับอารมณ์ใหม่ เป็นปัจจัย (เหตุหนุน) แก่จิตดวงต่อ ๆ ไปให้รับ ปัญจารมณ์นั้นไปจนสุดวิถี ขณะจิตที่ ๕ ปัญจวิญญาณ คือ จิต ๕ ดวงที่เกิดขึ้นรับปัญจารมณ์ดวงใดดวงหนึ่งตาม
สมควรแก่อารมณ์ที่มากระทบในขณะนั้น
transparenttransparent       เมื่อภวังคจลนะดับลงแล้ว ก็เป็นเหตุให้ภวังคจิตดวงที่ ๓ เกิดขึ้น ทำหน้าที่ปล่อยจากอารมณ์เก่า คือทิ้งจากอารมณ์เก่าที่เป็นกรรมอารมณ์ กรรมนิมิตอารมณ์ หรือคตินิมิตอารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง ที่เป็นอารมณ์ของภวังคจิตนั้น จิตดวงที่ ๓ นี้ เรียกว่า 
ภวังคุปัจเฉทะ เป็นจิตที่ตัดขาดจากกระแสภวังค์ 
          เมื่อจิตดวงที่ ๓ ดับลง 
ปัญจทวาราวัชชนะ อันเป็นขณะจิตดวงที่ ๔ ก็เกิดขึ้นรับอารมณ์ใหม่ที่มากระทบนั้นโดยตรง และรู้อารมณ์ที่มากระทบนั้นว่าเป็นอารมณ์อะไร และมาจากทวารไหน เพื่อเป็นปัจจัยให้สัญญาณแก่วิญญาณทางทวารนั้น ๆ จิตดวงนี้นับว่าเป็นดวงแรกที่ขึ้นสู่วิถีเพราะทำหน้าที่เป็นอาวัชชนกิจ คือมีหน้าที่คำนึงหรือค้นคว้าอารมณ์
          เมื่อขณะจิตดวงที่ ๔ นี้ดับลงไป ก็เป็นปัจจัยแก่ปัญจวิญญาณ ให้เกิดขึ้นเป็นขณะที่ ๕ คือ เป็นจักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ หรือกายวิญญาณ ดวงใดดวงหนึ่งใน ๕ ดวงนี้เกิดขึ้น ตามสมควรแก่ทวารและอารมณ์ เพื่อทำกิจในการเห็น หรือการได้ยินเป็นต้น
          เมื่อปัญจวิญญาณ อันเป็นขณะจิตดวงที่ ๕ ดับลง ขณะจิตที่ ๖ คือ สัมปฏิจฉันนะ ก็เกิดขึ้นรับอารมณ์ต่อจากปัญจวิญญาณ ที่ได้เห็นหรือได้ยินเป็นต้น และส่งมอบอารมณ์นั้นต่อไปให้กับสันตีรณะ
          เมื่อสัมปฏิจฉันนจิตดับลง ขณะจิตที่ ๗ คือ สันตีรณะ ก็เกิดขึ้นเพื่อไต่สวนอารมณ์ที่ได้รับมาจากสัมปฏิจฉันนะ เพื่อให้รู้ว่าอารมณ์ที่ได้รับนี้ดีหรือไม่ดีประการใด ถ้าเป็นอติอิฏฐารมณ์คืออารมณ์ที่ดียิ่ง โสมนัสสันตีรณกุศลวิบากจิตก็เกิดขึ้นทำหน้าที่พิจารณาไต่สวนอารมณ์นั้น ถ้าเป็นอิฏฐมัชฌัตตารมณ์คืออารมณ์ดีปานกลาง อุเบกขาสันตีรณกุศลวิบากจิตก็เกิดขึ้นทำหน้าที่รับอารมณ์นั้น แต่ถ้าเป็นอนิฏฐารมณ์คืออารมณ์ไม่ดี อุเบกขาสันตีรณอกุศลวิบากจิตก็ทำหน้าที่เป็นผู้พิจารณาอารมณ์นั้น แล้วดับไปพร้อมกับส่งมอบให้กับโวฏฐัพพนจิต
          เมื่อสันตีรณจิตดับลง โวฏฐัพพนจิต อันขณะจิตที่ ๘ ก็เกิดขึ้นทำหน้าที่โวฏฐัพพนกิจ คือ ตัดสินอารมณ์ว่าจะให้เป็นกุศลหรืออกุศลต่อไป
          เมื่อโวฏฐัพพนจิตดับลงแล้ว ขณะจิตที่ ๙ คือ ชวนะ ก็เกิดขึ้นทำหน้าที่ชวนกิจ คือเสวยหรือเสพรสของอารมณ์ที่โวฏฐัพพนจิต ได้ตัดสินแล้วนั้น โดยความเป็นกุศลชวนะหรืออกุศล ในกามชวนะนี้มีขณะจิตเกิดได้ทั้ง ๗ ขณะ เมื่อชวนจิตทำหน้าที่เสวยรสแห่งอารมณ์ไปแล้ว ๗ ขณะ ก็ดับลง
          ต่อจากนั้นขณะจิตที่ ๑๖ และที่ ๑๗ ก็เกิดขึ้นรับอารมณ์ที่เหลือจากชวนะ เพื่อหน่วงอารมณ์นั้นลงสู่ภวังค์ตามเดิม เรียกจิตทั้ง ๒ ดวงนี้ว่า ตทาลัมพนจิต ได้แก่จิต ๑๑ ดวง คือสันตีรณจิต ๓ และมหาวิบากจิต ๘ ตทาลัมพนจิตนี้ย่อมเกิดรับอารมณ์ที่เหลือจากชวนะตามสมควรแก่อารมณ์ และจะต้องเกิดขึ้น ๒ ครั้ง หรือ ๒ ขณะเสมอไป เท่ากับอายุของอารมณ์ที่ดำรงอยู่ได้ เมื่อถึงขณะจิตที่ ๑๗ พอดี ก็เป็นอันสุดวิถีจิตในวิถีหนึ่ง ๆ 
ต่อจากนั้นก็เป็นหน้าที่ของภวังคจิตเกิดขึ้นตามธรรมชาติต่อไป[๙]
            จิตดวงที่หนึ่ง คือ อตีตภวังค์จิตเกิดขึ้นแล้วดับไป  ต่อจากนั้นจิตดวงที่สองเกิดขึ้นมาแทนเป็นเช่นนี้อยู่เรื่อย ๆ จิตนี้ เกิดดับ เกิดดับ สืบต่อเนื่องกันอย่างรวดเร็วเหลือประมาณ จนปุถุชนคน ธรรมดาเข้าใจไปว่า จิตนี้ไม่มีการเกิดดับ แต่ว่ายั่งยืนอยู่จนตลอดชีวิตจึงดับไปก็เหมือนกับเข้าใจว่า กระแสไฟฟ้าชนิดกระแสสลับ ซึ่งกลับไปกลับมาอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งเราเห็นหลอดไฟสว่างอยู่ตลอดเวลา ก็เข้าใจว่ากระแสไฟฟ้าไม่ได้ไหลไปแล้วกลับฉะนั้น
          วิธีการดูแลจิตตามหลักจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน
          เมื่อมีการพิจารณามองเห็นการเกิดการดับของจิตนั้นด้วยปัญญา เรียกว่า "อุทยัพพยญาณ" จิตที่พระพุทธเจ้าทรงให้พิจารณาก็ คือ ความโลภ ความไม่โลภ  ความโกรธ ความไม่โกรธ ความหลง และความไม่หลงเป็นต้นไป  อานิสงส์ของการการพิจารณาจิตดังกล่าว พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ทางนี้เป็นที่ไปอันเอก เพื่อความหมดจดวิเศษของสัตว์ทั้งหลาย เพื่อความก้าวล่วงซึ่งความโศก และความร่ำไร เพื่อความดับไปแห่งทุกข์ใจ และความเสียใจ เพื่อกระทำพระนิพพานให้แจ้งทางนี้คือสติปัฏฐาน[๑๐] ซึ่งเป็นข้อยืนยันว่าหากปฏิบัติตามก็จะได้ผล ถือว่าเป็นวิธีการรักษาดูแลตามจิตที่มีผลดี
          วิธีการเจริญจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน พระพุทธเจ้าตรัสว่า  
          ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่อย่างไรเล่า 
          ๑) ภิกษุในธรรมวินัยนี้ จิตมีราคะ ก็รู้ว่าจิตมีราคะ หรือ 
          ๒) จิตปราศจากราคะ ก็รู้ว่าจิตปราศจากราคะ 
          ๓) จิตมีโทสะ ก็รู้ว่าจิตมีโทสะ หรือ 
          ๔) จิตปราศจากโทสะ ก็รู้ว่าจิตปราศจากโทสะ 
          ๔) จิตมีโมหะ ก็รู้ว่าจิตมีโมหะ หรือ 
          ๕) จิตปราศจากโมหะ ก็รู้ว่าจิตปราศจากโมหะ
           ๖) จิตหดหู่ ก็รู้ว่าจิตหดหู่ ๗) จิตฟุ้งซ่าน ก็รู้ว่าจิตฟุ้งซ่าน 
          ๘) จิตเป็นมหรคต ก็รู้ว่าจิตเป็นมหรคต หรือ 
          ๙) จิตไม่เป็นมหรคต ก็รู้ว่าจิตไม่เป็นมหรคต 
          ๑๐) จิตมีจิตอื่นยิ่งกว่า ก็รู้ว่าจิตมีจิตอื่นยิ่งกว่า หรือ 
          ๑๑) จิตไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่า ก็รู้ว่าจิตไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่า 
          ๑๒) จิตเป็นสมาธิ ก็รู้ว่าจิตเป็นสมาธิ หรือ 
          ๑๓) จิตไม่เป็นสมาธิ ก็รู้ว่าจิตไม่เป็นสมาธิ 
          ๑๔) จิตหลุดพ้น ก็รู้ว่าจิตหลุดพ้น หรือ 
          ๑๕) จิตไม่หลุดพ้น ก็รู้ว่าจิตไม่หลุดพ้น 
          ดังพรรณนามาฉะนี้ ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นจิตในจิตภายในบ้าง พิจารณาเห็นจิตในจิตภายนอกบ้าง พิจารณาเห็นจิตในจิตทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง พิจารณาเห็นธรรม คือความเกิดขึ้นในจิตบ้าง พิจารณาเห็นธรรมคือความเสื่อมในจิตบ้าง  พิจารณาเห็นธรรมคือทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมในจิตบ้าง ย่อมอยู่ อีกอย่างหนึ่ง สติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่า จิตมีอยู่ ก็เพียงสักว่าความรู้ เพียงสักว่าอาศัยระลึกเท่านั้น เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฐิไม่อาศัยอยู่แล้ว และไม่ถือมั่นอะไร ๆ ในโลก ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ ฯ[๑๑] 
          สรุปได้ว่า การพิจารณาจิตของตนด้วยสติจนให้มองเห็นความไม่เที่ยง ความทุกข์ และความเป็นอนัตตาของจิตนั้น จะทำให้จิตของตนบริสุทธิ์ และทำให้ความเครียด ความเศร้าโศกหายไปจากใจด้วย นี้คือวิธีการดูแลจิตตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าวิธีหนึ่ง 

          บรรณานุกรม
         มหามกุฏราชวิทยาลัยมูลนิธิ. พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับสยามรัฐ เล่ม ๑,๔, ๑๔, กรุงเทพมหานคร : โรง พิมพ์มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๒๕.
          พระสุมงฺคลสามิ, อภิธมฺมตฺถวิภาวินีฏีกา (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์พาณิชศุภผล, ๒๔๖๖),
         พระอาจารย์มั่น  ภูริทัตโต, พระอภิธัมมัตถสังคหะ ๙ ปริเฉท, (สกลนคร :  สำนักสงฆ์ถ้ำศรีแก้ว  บ้านใหม่ พัฒนา ต. สร้างค้อ อ. กุดบาท, ๒๕๒๔),
          ----------------- "คู่มือพระอภิธัมมัตถสังคหะ ๙ ปริจเฉท", <www.thepathofpurity.com > (๑๒ พฤษภาคม       ๒๕๕๗)      




             [๑]พระอาจารย์มั่น  ภูริทัตโต, พระอภิธัมมัตถสังคหะ ๙ ปริเฉท, (สกลนคร :  สำนักสงฆ์ถ้ำศรีแก้ว  บ้านใหม่พัฒนา ต. สร้างค้อ อ. กุดบาท, ๒๕๒๔), หน้า ๖๔-๖๕.
          [๒]พระสุมงฺคลสามิ, อภิธมฺมตฺถวิภาวินีฏีกา (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์พาณิชศุภผล, ๒๔๖๖), หน้าที่ ๖๖
          [๓]วิ.ม. ๔/๑๖/๔๘.
          [๔]วิ.ม. ๔/๒๑/๕๔-๕๕.
          [๕] วิ.ม. ๔/๒๑/๕๕.
          [๖]อภิ.สง.อ. ๑/๓๑๖
            [๗] พระอาจารย์มั่น  ภูริทัตโต, พระอภิธัมมัตถสังคหะ ๙ ปริเฉท, (อ้างแล้ว), หน้า ๗๒.
          [๘] เรื่องเดียวกัน, หน้า ๗๗.

          [๙]-----------, "คู่มือพระอภิธัมมัตถสังคหะ ๙ ปริจเฉท", <www.thepathofpurity.com > (๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๗)

          [๑๐]ที.ม. ๑๔/๒๗๓/๒๐๙.
          [๑๑]ที.ม. ๑๔/๒๘๙/๒๒๒-๒๒๓.