พระกิตติ กิตฺติสาโร
นักศึกษาปริญญาเอก มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย
ผู้ที่ดูแลจิตใจให้เป็นโยนิโสมนสิการนั้นจะได้อยู่อย่างเป็นสุข
ตรงกันข้ามถ้าจิตใจไม่เป็นโยนิโสมนสิการเมื่อไรมีชีวิตก็จะลำบากในการใช้ชีวิตประจำวัน ดังนั้นการดูแลจิตให้ถูกวิธีถือว่าเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง
จึงดังใจจะศึกษาเรื่อง วิธีการดูแลจิตตามหลักจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน ก่อนจะศึกษาเรื่องจิตตานุปัสสนานั้น
เพื่อจะได้เป็นนามรูปปริจเฉทญาณ ญาณกำหนดพิจารณารู้จักแยกรูปแยกนามออกจากกัน จะศึกษาความหมายของจิตเป็นอันดับแรก
ความหมายของจิต คือ รับรู้อารมณ์ จำ คิด จิตเป็นตัวรู้
สิ่งที่จิตรู้นั้นเป็นอารมณ์ จิตรู้สิ่งใด สิ่งนั้นแหละคืออารมณ์ อารมณ์มี ๖ คือ รูป
เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพ และธัมมารามณ์ ธัมมารมณ์นั้นแบ่งเป็น ๖ คือ ประสาท ๑
เจตสิก ๑ สุขุมรูป ๑ นิพพาน ๑ จิต ๑ บัญญัติ ๑[๑]
สมตามนัยขยายความตามบาลีว่า จิตฺเตตีติ จิตฺตํ อารมฺมณํ
วิชานาตีติ อตฺโถ ฯ [๒] ซึ่งแปลเป็นใจความว่า
ธรรมชาติใดย่อมคิด ธรรมชาตินั้นชื่อว่า จิต มีอรรถว่า
ธรรมชาติที่รู้อารมณ์
ลักษณะของจิตมี ๒ อย่าง คือ
สามัญลักษณะ และ วิเสสลักษณะ
(๑) สามัญญลัษณะ มี ๓
ประการคือ อนิจจลักษณะ ทุกขลักษณะ และอนัตตลักษณะ ๑) จิตนี้เป็นอนิจจัง
คือไม่เที่ยง ไม่มั่นคง หมายถึงว่า ไม่ยั่งยืน ไม่ตั้งอยู่ได้ตลอดกาล ดังนั้น
พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า "ยังกิญจิ สะมุทะยะธัมมัง สัพพันตัง
นิโรธะธัมมันติ สิ่งใดสิ่งหนึ่ง มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา
สิ่งนั้นทั้งมวล มีความดับเป็นธรรมดา[๓]" ๒)จิตนี้เป็นทุกขัง คือทนอยู่ไม่ได้
เพราะเป็นสิ่งที่ไม่ยั่งยืน ทนอยู่ไม่ได้ตลอดกาล จึงมีอาการเกิดดับ เกิดดับ
อยู่ร่ำไป ดังนั้น พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า
"ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอสำคัญความนั้นเป็นไฉน
วิญญาณเที่ยงหรือไม่เที่ยง" พระปัญจวัคคีย์
"ไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าข้า" พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า
"ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า" พระปัญจวัคคีย์ "เป็นทุกข์
พระพุทธเจ้าข้า"[๔] จิตนี้เป็นอนัตตา
คือเป็นสิ่งที่ไม่มีตัวตน เป็นสิ่งที่บังคับบัญชาให้ยั่งยืน
ให้ทนอยู่ไม่ให้เกิดดับ ก็ไม่ได้เลย ดังนั้นพระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า
"สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา
ควรหรือจะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตน
(อัตตา)ของเรา" พระปัญจวัคคีย์ "ข้อนั้นไม่ควรเลย
พระพุทธเจ้าข้า"[๕] ในอนัตตลักขณสูตร
พระพุทธเจ้าตรัสเรื่อง ไม่เที่ยง เป็นทุกข์แล้ว จึงจะตรัสเรื่องอนัตตา
แสดงให้เห็นว่า หากไม่เห็นเรื่อนามรูปไม่เที่ยง
เป็นทุกข์ก็จะไม่เข้าใจเรื่องอนัตตา
ผู้ที่เจริญอนัตตานั้นควรเป็นบุคคลผู้มีปัญญาแก่กล้า
(๒) ส่วนวิเสสลักษณะหรือ ลักขณาทิจตุกะของจิต
ก็มีครบบริบูรณ์ทั้ง ๔ ประการคือ ๑) วิชานน ลกฺขณํ มีการรู้อารมณ์ เป็นลักษณะ ๒) ปุพฺพงฺคม รสํ เป็นประธานในธรรมทั้งปวง เป็นกิจ
๓) สนฺธาน ปจฺจุปฏฺฐานํ มีการเกิดต่อเนื่องกันไม่ขาดสาย
เป็นอาการปรากฎ ๔) นามรูป ปทฺฏฐานํ มีนามรูป
เป็นเหตุใกล้ให้เกิด[๖]
เมื่อมีการศึกษาพระอภิธัมมัตถสังคหะ ปริจเฉทที่ ๔ หรือ วิถีจิตนั้น จะได้ทำให้เข้าใจเรื่องการเกิดดับ
เกิดดับต่อเนื่องของจิตกันอย่างไม่ขาดสาย
วิถีจิต คือ
แสดงความเป็นไปของจิตตามลำดับที่เกิดก่อนและหลัง ในเมื่อประสบกับอารมณ์ใหม่
ในวาระหนึ่ง ๆ วิถีจิต คือ ปัญจทวารวิถีจิต[๗]
และมโนทวารวิถีจิต[๘]
ปัญจทวารวิถีจิต คือ
แสดงความเป็นของจิตตามลำดับขณะที่รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ กระทบกัน ตา หู จมูก
ลิ้น กาย เช่น
ปัญจทวารวิถี อติมหันตารมณ์นี้ มีจิตตุปปาทะ (คือจิตที่เกิดขึ้นในวิถี) ถึง ๑๔ ขณะ ทั้งนี้ไม่นับภวังคจิต ๓ ขณะ
ซึ่งไม่ใช่จิตใน วิถีด้วย และมีวิถีจิตถึง ๗
๑
|
๒
|
๓
|
๔
|
๕
|
๖
|
๗
|
๘
|
๙ ๑๐ ๑๑ ๑๒ ๑๓ ๑๔ ๑๕
|
๑๖ ๑๗
|
ขณะจิต ๑๗
|
ตี
|
น
|
ท
|
ป
|
วิ
|
สํ
|
สัน
|
วุ
|
ช ช ช ช ช ช ช
|
ต ต
|
|
๑
|
๒
|
๓
|
๔
|
๕
|
๖ ๗ ๘ ๙ ๑๐ ๑๑ ๑๒
|
๑๓ ๑๔
|
จิตตุปปาทะ ๑๔
|
|||
๑
|
๒
|
๓
|
๔
|
๕
|
๖
|
๗
|
วิถีจิต ๗
|
คำอธิบายถึงขณะจิต
๑๗ ขณะ
ขณะจิตทั้ง ๑๗ ขณะ
เป็นคำสอนที่ละเอียดสุขุมมากอย่างหนึ่งในพระอภิธรรม
อันเป็นเรื่องที่น่าสนใจและควรแก่การศึกษาอย่างยิ่ง
ซึ่งในที่นี้จะนำมาอธิบายแต่โดยย่อ ดังนี้
ขณะจิตที่ ๑ อตีตภวังค์ เป็นภวังคจิตที่กระทบกับอารมณ์ทั้ง ๕ มีรูปเป็นต้น อารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง ในปัจจุบันเป็นครั้งแรก การที่จะเข้าใจอตีตภวังค์ก็จำต้องเข้าใจลักษณะของภวังคจิตเสียก่อน คือ ภวังคจิตหมายถึงจิตที่ทำหน้าที่รักษาภพชาติ คือรักษาผลของกรรมที่ถือกำเนิดมาในภพชาตินั้น ๆ และรักษารูปที่เกิดจากจิตเป็นสมุฏฐานให้ดำรงอยู่ในอาการปกติ เช่น รูปที่เกิดจากการหายใจเข้าออกเป็นต้น
ขณะจิตที่ ๑ อตีตภวังค์ เป็นภวังคจิตที่กระทบกับอารมณ์ทั้ง ๕ มีรูปเป็นต้น อารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง ในปัจจุบันเป็นครั้งแรก การที่จะเข้าใจอตีตภวังค์ก็จำต้องเข้าใจลักษณะของภวังคจิตเสียก่อน คือ ภวังคจิตหมายถึงจิตที่ทำหน้าที่รักษาภพชาติ คือรักษาผลของกรรมที่ถือกำเนิดมาในภพชาตินั้น ๆ และรักษารูปที่เกิดจากจิตเป็นสมุฏฐานให้ดำรงอยู่ในอาการปกติ เช่น รูปที่เกิดจากการหายใจเข้าออกเป็นต้น
ขณะจิตที่ ๒ ภวังคจลนะ มีความเคลื่อนไหวของภวังคจิต
หรืออาการที่ภวังคจิตเคลื่อนไหว เป็นภวังคจิตที่เกิดต่อจากอตีตภวังค์
มีอาการไหวคลายจากอารมณ์เก่า แต่ยังคงเป็นภวังคจิตอยู่นั่นเอง
แต่ต่างกับอตีตภวังค์มีอาการไหวคลายจากอารมณ์เก่า แต่ยังคงเป็นภวังคจิตอยู่นั่นเอง
แต่ต่างกับอตีตภวังค์ตรงที่มีการกระทบกับอารมณ์ใหม่แล้วเกิดความไหวขึ้นจิตดวงนี้ก็จัดเป็น
วิถีมุตตจิต คือจิตที่ยังไม่ขึ้นสู่วิถีเช่นกัน
ขณะจิตที่ ๓ ภวังคุปัจเฉทะ เป็นภวังคจิตที่เริ่มตัดขาดอารมณ์เก่า
กำลังจะเตรียมตัวขึ้นสู่วิถีจิต
คือภวังคจิตที่เริ่มปล่อยอารมณ์เก่าจนขาดจากอารมณ์เก่าที่ตรงกับภวังคขณะ (ขณะดับ)
ของจิต แต่จิตในขณะนี้ยังรับอารมรมณ์เก่าอยู่ จึงยังไม่เป็นจิตที่ขึ้นสู่วิถี
ขณะจิตที่ ๔ ปัญจทวาราวัชชนะ เป็นอเหตุกจิตที่เกิดขึ้นรับอารมณ์ใหม่ที่มากระทบไม่ว่าจะเป็นทางตา
หู จมูก ลิ้น และ กาย ให้รู้ว่าอารมณ์ที่มากระทบนั้น เป็นอารมณ์ที่มาจากทวารไหน
เพื่อเป็นปัจจัยให้สัญญาณแก่วิญญาณทางทวารนั้น ๆ ปัญจทวาราวัชชนจิตนี้
เป็นจิตที่รับอารมณ์ใหม่ในปัจจุบันเป็นครั้งแรกในวิถีหนึ่ง ๆ
จึงนับเป็นจิตดวงแรกที่ขึ้นสู่วิถีรับอารมณ์ใหม่ เป็นปัจจัย (เหตุหนุน)
แก่จิตดวงต่อ ๆ ไปให้รับ ปัญจารมณ์นั้นไปจนสุดวิถี ขณะจิตที่ ๕ ปัญจวิญญาณ คือ
จิต ๕ ดวงที่เกิดขึ้นรับปัญจารมณ์ดวงใดดวงหนึ่งตาม
สมควรแก่อารมณ์ที่มากระทบในขณะนั้น

เมื่อภวังคจลนะดับลงแล้ว
ก็เป็นเหตุให้ภวังคจิตดวงที่ ๓ เกิดขึ้น ทำหน้าที่ปล่อยจากอารมณ์เก่า
คือทิ้งจากอารมณ์เก่าที่เป็นกรรมอารมณ์ กรรมนิมิตอารมณ์
หรือคตินิมิตอารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง ที่เป็นอารมณ์ของภวังคจิตนั้น จิตดวงที่ ๓
นี้ เรียกว่า “ภวังคุปัจเฉทะ” เป็นจิตที่ตัดขาดจากกระแสภวังค์
เมื่อจิตดวงที่ ๓ ดับลง ปัญจทวาราวัชชนะ อันเป็นขณะจิตดวงที่ ๔ ก็เกิดขึ้นรับอารมณ์ใหม่ที่มากระทบนั้นโดยตรง และรู้อารมณ์ที่มากระทบนั้นว่าเป็นอารมณ์อะไร และมาจากทวารไหน เพื่อเป็นปัจจัยให้สัญญาณแก่วิญญาณทางทวารนั้น ๆ จิตดวงนี้นับว่าเป็นดวงแรกที่ขึ้นสู่วิถีเพราะทำหน้าที่เป็นอาวัชชนกิจ คือมีหน้าที่คำนึงหรือค้นคว้าอารมณ์


เมื่อจิตดวงที่ ๓ ดับลง ปัญจทวาราวัชชนะ อันเป็นขณะจิตดวงที่ ๔ ก็เกิดขึ้นรับอารมณ์ใหม่ที่มากระทบนั้นโดยตรง และรู้อารมณ์ที่มากระทบนั้นว่าเป็นอารมณ์อะไร และมาจากทวารไหน เพื่อเป็นปัจจัยให้สัญญาณแก่วิญญาณทางทวารนั้น ๆ จิตดวงนี้นับว่าเป็นดวงแรกที่ขึ้นสู่วิถีเพราะทำหน้าที่เป็นอาวัชชนกิจ คือมีหน้าที่คำนึงหรือค้นคว้าอารมณ์
เมื่อขณะจิตดวงที่
๔ นี้ดับลงไป ก็เป็นปัจจัยแก่ปัญจวิญญาณ ให้เกิดขึ้นเป็นขณะที่
๕ คือ เป็นจักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ หรือกายวิญญาณ
ดวงใดดวงหนึ่งใน ๕ ดวงนี้เกิดขึ้น ตามสมควรแก่ทวารและอารมณ์ เพื่อทำกิจในการเห็น
หรือการได้ยินเป็นต้น
เมื่อปัญจวิญญาณ
อันเป็นขณะจิตดวงที่ ๕ ดับลง ขณะจิตที่ ๖ คือ สัมปฏิจฉันนะ ก็เกิดขึ้นรับอารมณ์ต่อจากปัญจวิญญาณ
ที่ได้เห็นหรือได้ยินเป็นต้น และส่งมอบอารมณ์นั้นต่อไปให้กับสันตีรณะ
เมื่อสัมปฏิจฉันนจิตดับลง ขณะจิตที่ ๗ คือ สันตีรณะ ก็เกิดขึ้นเพื่อไต่สวนอารมณ์ที่ได้รับมาจากสัมปฏิจฉันนะ เพื่อให้รู้ว่าอารมณ์ที่ได้รับนี้ดีหรือไม่ดีประการใด ถ้าเป็นอติอิฏฐารมณ์คืออารมณ์ที่ดียิ่ง โสมนัสสันตีรณกุศลวิบากจิตก็เกิดขึ้นทำหน้าที่พิจารณาไต่สวนอารมณ์นั้น ถ้าเป็นอิฏฐมัชฌัตตารมณ์คืออารมณ์ดีปานกลาง อุเบกขาสันตีรณกุศลวิบากจิตก็เกิดขึ้นทำหน้าที่รับอารมณ์นั้น แต่ถ้าเป็นอนิฏฐารมณ์คืออารมณ์ไม่ดี อุเบกขาสันตีรณอกุศลวิบากจิตก็ทำหน้าที่เป็นผู้พิจารณาอารมณ์นั้น แล้วดับไปพร้อมกับส่งมอบให้กับโวฏฐัพพนจิต
เมื่อสัมปฏิจฉันนจิตดับลง ขณะจิตที่ ๗ คือ สันตีรณะ ก็เกิดขึ้นเพื่อไต่สวนอารมณ์ที่ได้รับมาจากสัมปฏิจฉันนะ เพื่อให้รู้ว่าอารมณ์ที่ได้รับนี้ดีหรือไม่ดีประการใด ถ้าเป็นอติอิฏฐารมณ์คืออารมณ์ที่ดียิ่ง โสมนัสสันตีรณกุศลวิบากจิตก็เกิดขึ้นทำหน้าที่พิจารณาไต่สวนอารมณ์นั้น ถ้าเป็นอิฏฐมัชฌัตตารมณ์คืออารมณ์ดีปานกลาง อุเบกขาสันตีรณกุศลวิบากจิตก็เกิดขึ้นทำหน้าที่รับอารมณ์นั้น แต่ถ้าเป็นอนิฏฐารมณ์คืออารมณ์ไม่ดี อุเบกขาสันตีรณอกุศลวิบากจิตก็ทำหน้าที่เป็นผู้พิจารณาอารมณ์นั้น แล้วดับไปพร้อมกับส่งมอบให้กับโวฏฐัพพนจิต
เมื่อสันตีรณจิตดับลง โวฏฐัพพนจิต อันขณะจิตที่
๘ ก็เกิดขึ้นทำหน้าที่โวฏฐัพพนกิจ คือ ตัดสินอารมณ์ว่าจะให้เป็นกุศลหรืออกุศลต่อไป
เมื่อโวฏฐัพพนจิตดับลงแล้ว ขณะจิตที่ ๙
คือ ชวนะ ก็เกิดขึ้นทำหน้าที่ชวนกิจ
คือเสวยหรือเสพรสของอารมณ์ที่โวฏฐัพพนจิต ได้ตัดสินแล้วนั้น
โดยความเป็นกุศลชวนะหรืออกุศล ในกามชวนะนี้มีขณะจิตเกิดได้ทั้ง ๗ ขณะ
เมื่อชวนจิตทำหน้าที่เสวยรสแห่งอารมณ์ไปแล้ว ๗ ขณะ ก็ดับลง
ต่อจากนั้นขณะจิตที่ ๑๖ และที่ ๑๗
ก็เกิดขึ้นรับอารมณ์ที่เหลือจากชวนะ เพื่อหน่วงอารมณ์นั้นลงสู่ภวังค์ตามเดิม
เรียกจิตทั้ง ๒ ดวงนี้ว่า ตทาลัมพนจิต ได้แก่จิต
๑๑ ดวง คือสันตีรณจิต ๓ และมหาวิบากจิต ๘
ตทาลัมพนจิตนี้ย่อมเกิดรับอารมณ์ที่เหลือจากชวนะตามสมควรแก่อารมณ์
และจะต้องเกิดขึ้น ๒ ครั้ง หรือ ๒ ขณะเสมอไป เท่ากับอายุของอารมณ์ที่ดำรงอยู่ได้
เมื่อถึงขณะจิตที่ ๑๗ พอดี ก็เป็นอันสุดวิถีจิตในวิถีหนึ่ง ๆ
ต่อจากนั้นก็เป็นหน้าที่ของภวังคจิตเกิดขึ้นตามธรรมชาติต่อไป[๙]
ต่อจากนั้นก็เป็นหน้าที่ของภวังคจิตเกิดขึ้นตามธรรมชาติต่อไป[๙]
จิตดวงที่หนึ่ง คือ อตีตภวังค์จิตเกิดขึ้นแล้วดับไป
ต่อจากนั้นจิตดวงที่สองเกิดขึ้นมาแทนเป็นเช่นนี้อยู่เรื่อย ๆ จิตนี้
เกิดดับ เกิดดับ สืบต่อเนื่องกันอย่างรวดเร็วเหลือประมาณ จนปุถุชนคน
ธรรมดาเข้าใจไปว่า จิตนี้ไม่มีการเกิดดับ แต่ว่ายั่งยืนอยู่จนตลอดชีวิตจึงดับไปก็เหมือนกับเข้าใจว่า
กระแสไฟฟ้าชนิดกระแสสลับ ซึ่งกลับไปกลับมาอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งเราเห็นหลอดไฟสว่างอยู่ตลอดเวลา
ก็เข้าใจว่ากระแสไฟฟ้าไม่ได้ไหลไปแล้วกลับฉะนั้น
วิธีการดูแลจิตตามหลักจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน
เมื่อมีการพิจารณามองเห็นการเกิดการดับของจิตนั้นด้วยปัญญา
เรียกว่า "อุทยัพพยญาณ" จิตที่พระพุทธเจ้าทรงให้พิจารณาก็ คือ ความโลภ
ความไม่โลภ ความโกรธ ความไม่โกรธ ความหลง และความไม่หลงเป็นต้นไป อานิสงส์ของการการพิจารณาจิตดังกล่าว
พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ทางนี้เป็นที่ไปอันเอก
เพื่อความหมดจดวิเศษของสัตว์ทั้งหลาย เพื่อความก้าวล่วงซึ่งความโศก และความร่ำไร
เพื่อความดับไปแห่งทุกข์ใจ และความเสียใจ
เพื่อกระทำพระนิพพานให้แจ้งทางนี้คือสติปัฏฐาน[๑๐] ซึ่งเป็นข้อยืนยันว่าหากปฏิบัติตามก็จะได้ผล
ถือว่าเป็นวิธีการรักษาดูแลตามจิตที่มีผลดี
วิธีการเจริญจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน
พระพุทธเจ้าตรัสว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่อย่างไรเล่า
๑) ภิกษุในธรรมวินัยนี้ จิตมีราคะ ก็รู้ว่าจิตมีราคะ หรือ
๒) จิตปราศจากราคะ ก็รู้ว่าจิตปราศจากราคะ
๓) จิตมีโทสะ ก็รู้ว่าจิตมีโทสะ หรือ
๔) จิตปราศจากโทสะ ก็รู้ว่าจิตปราศจากโทสะ
๔) จิตมีโมหะ ก็รู้ว่าจิตมีโมหะ หรือ
๕) จิตปราศจากโมหะ ก็รู้ว่าจิตปราศจากโมหะ
๖) จิตหดหู่ ก็รู้ว่าจิตหดหู่ ๗) จิตฟุ้งซ่าน ก็รู้ว่าจิตฟุ้งซ่าน
๘) จิตเป็นมหรคต ก็รู้ว่าจิตเป็นมหรคต หรือ
๙) จิตไม่เป็นมหรคต ก็รู้ว่าจิตไม่เป็นมหรคต
๑๐) จิตมีจิตอื่นยิ่งกว่า ก็รู้ว่าจิตมีจิตอื่นยิ่งกว่า หรือ
๑๑) จิตไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่า ก็รู้ว่าจิตไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่า
๑๒) จิตเป็นสมาธิ ก็รู้ว่าจิตเป็นสมาธิ หรือ
๑๓) จิตไม่เป็นสมาธิ ก็รู้ว่าจิตไม่เป็นสมาธิ
๑๔) จิตหลุดพ้น ก็รู้ว่าจิตหลุดพ้น หรือ
๑๕) จิตไม่หลุดพ้น ก็รู้ว่าจิตไม่หลุดพ้น
ดังพรรณนามาฉะนี้ ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นจิตในจิตภายในบ้าง พิจารณาเห็นจิตในจิตภายนอกบ้าง พิจารณาเห็นจิตในจิตทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง พิจารณาเห็นธรรม คือความเกิดขึ้นในจิตบ้าง พิจารณาเห็นธรรมคือความเสื่อมในจิตบ้าง พิจารณาเห็นธรรมคือทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมในจิตบ้าง ย่อมอยู่ อีกอย่างหนึ่ง สติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่า จิตมีอยู่ ก็เพียงสักว่าความรู้ เพียงสักว่าอาศัยระลึกเท่านั้น เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฐิไม่อาศัยอยู่แล้ว และไม่ถือมั่นอะไร ๆ ในโลก ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ ฯ[๑๑]
สรุปได้ว่า การพิจารณาจิตของตนด้วยสติจนให้มองเห็นความไม่เที่ยง ความทุกข์ และความเป็นอนัตตาของจิตนั้น จะทำให้จิตของตนบริสุทธิ์ และทำให้ความเครียด ความเศร้าโศกหายไปจากใจด้วย นี้คือวิธีการดูแลจิตตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าวิธีหนึ่ง
บรรณานุกรม
มหามกุฏราชวิทยาลัยมูลนิธิ.
พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับสยามรัฐ เล่ม ๑,๔, ๑๔, กรุงเทพมหานคร : โรง พิมพ์มหามกุฏราชวิทยาลัย,
๒๕๒๕.
พระสุมงฺคลสามิ,
อภิธมฺมตฺถวิภาวินีฏีกา (กรุงเทพฯ :
โรงพิมพ์พาณิชศุภผล, ๒๔๖๖),
พระอาจารย์มั่น
ภูริทัตโต, พระอภิธัมมัตถสังคหะ ๙ ปริเฉท, (สกลนคร : สำนักสงฆ์ถ้ำศรีแก้ว บ้านใหม่ พัฒนา
ต. สร้างค้อ อ. กุดบาท, ๒๕๒๔),
----------------- "คู่มือพระอภิธัมมัตถสังคหะ ๙ ปริจเฉท", <www.thepathofpurity.com > (๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๗)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น