วันอาทิตย์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2557

พระพุทธเจ้าสอนอะไร

พระกิตติ กิตฺติสาโร 
นักศึกษาปริญญาเอก มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย
          หลังพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว  พระพุทธเจ้าสอนให้เวไนยสัตว์ได้หลุดพ้นจากทุกข์เป็นเวลานาน ๔๕ พรรษา จากพระมหาเถรในปฐมสังคายนามีการรวบรวมคำสอนของพระพุทธเจ้าได้แก่พระไตรปิฎก ถือว่ามีจำนวนมากฉะนั้นจึงมีความประสงค์รู้ว่าเมื่อสรุปแล้วคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหมดมีอะไรบ้างดั้งนั้นจึงได้ดั้งใจค้นคว้าในพระไตรปิฎกและอรรถกถาแล้วเขียนเป็นบทความเรื่องพระพุทธเจ้าสอนอะไร  

          ๑. องค์ประกอบคำสอนของพระพุทธเจ้า
          เนื่องจากเป็นผู้ที่สร้างบารมีนานแล้ว ๔ อสงไขย คำสอนของพระองค์ท่านปราศจักมลทินต่าง ๆ แล้ว ประกอบไปด้วยความงามต่าง ๆ และพระพุทธเจ้าทรงสอนชี่แจงให้สาวกของท่านสั่งสอนมนุษย์ด้วยความงดงามเช่นเดียวกัน สมัยหนึ่งพระพุทธเจ้าตรัสแก่สาวกว่า "จงแสดงธรรมงามในเบื้องต้น  งามในท่ามกลาง  งามในที่สุด  จงประกาศพรหมจรรย์  พร้อมทั้งอรรถพร้อมทั้งพยัญชนะ ครบบริบูรณ์บริสุทธิ์[๑]  จึงพุดได้ว่า คำสอนของพระพุทธเจ้าไม่มีข้อบก พร่องใด ๆ ทั้งสิ้น คนเราอาจจะมีข้อสงสัยว่า ความงามของคำสอนพระพุทธเจ้านั้น เป็นเช่นไร อรรถกถาจารย์จึงกล่าวไว้คำหมายของคำไว้ต่าง ๆ 
                ความของคำว่า "ธรรมงามในเบื้องต้น  งามในท่ามกลาง  งามในที่สุด" นั้น อรรถกถาจารย์มีคำอธิบายขยายคำไว้หลายประการ คือ "งามในเบื้องต้นด้วยศีลและสมาธิ งานในท่ามกลางด้วยวิปัสสนาและมรรค งามในเบื้องปลายด้วยพระนิพพนาน[๒] อีกนัยหนึ่ง คือ "งามในเบื้องต้นด้วยศีลอันเป็นรากฐานของตน งามในท่ามกลางด้วยสมถวิปัสสนาและมรรคผล งานในเบื้องปลายด้วยพระนิพพาน"[๓]
          อีกนัยหนึ่ง ที่อธิบายไว้ธรรมงามเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด คือ
          "อนึ่ง ศาสนธรรมนั้น เมื่อสาธุชนสดับอยู่ ย่อมนำมาแต่ความงามฝ่าย  เดียวแม้ด้วยการสดับ เพราะจะข่มนิวรณธรรมไว้ได้ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่ามีความ งามในเบื้องต้น  เมื่อสาธุชนปฏิบัติอยู่ ก็ย่อม นำมาแต่ความงามฝ่ายเดียว แม้ด้วยการปฏิบัติ เพราะจะนำมาแต่ความสุขอันเกิดแต่สมถะและวิปัสสนา เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า มีความงามในท่ามกลาง. และเมื่อสาธุชนปฏิบัติแล้วโดยประการนั้น ก็ ย่อมนำมาแต่ความงามเช่นเดียวกัน แม้ด้วยผลแห่งการปฏิบัติ เพราะจะนำความ เป็นผู้คงที่มาให้ ในเมื่อได้สำเร็จผลแห่งการปฏิบัติแล้ว เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า มีความงามในที่สุด"[๔]
           จึงสรุปได้ว่า คำสอนของพระพุทธเจ้าประกอบได้ด้วยความงดงามแต่ต้น กลาง และปลาย จึงมั่นใจได้ว่าหากว่าปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธองค์ก็ชีวิตจะมีความงดงามตั้งแต่ต้น กลาง และปลายเช่นเดียวกัน

          ๒. ลำดับการสอนของพระพุทธเจ้า
          ธรรมที่มีความงดงามเหล่านั้นเมื่อพระพุทธเจ้าสอนก็จะสอนเป็นลำดับ เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสธรรมให้แก่ผู้ที่เป็นอุคคฏิตัญญู พวกที่มีสติปัญญาฉลาดเฉลียวนั้น พระองค์จะแสดงธรรมเรื่องอริยสัจ ๔ อย่างเช่น พระพุทธเจ้าตรัสอริยสัจให้แก่พระปัญจวัคคีย์ แต่หากแสดงธรรมให้ผู้ที่เป็นคฤหัสถ์ ที่มีจิตใจยังไม่บริสุทธิ์ ยังไม่ปราศจากนิวรณ์นั้น จะตรัสธรรมอนุปุพพิกถาให้จิตใจบริสุทธิ์ปราศจากนิวรณ์แล้วจึงจะตรัสเรื่องทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค อาทิเช่น
           พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสอนุปุพพิกถาแก่พราหมณ์โปกขรสาติ คือ ประกาศทานกถา สีลกถา  สัคคกถา โทษของกามที่ต่ำช้าเศร้าหมอง  และอานิสงส์ ในการออกจากกาม เมื่อทรงทราบว่าพราหมณ์โปกขรสาติมีจิต  คล่องมีจิตอ่อน  มีจิตปราศจากนิวรณ์  มีจิตสูงมีจิตผ่องใสแล้ว  จึงทรง ประกาศพระธรรมเทศนาที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงยกขึ้นแสดงด้วยพระองค์เอง  คือ  ทุกข์  สมุทัย นิโรธ  มรรค  โปรดพราหมณ์โปกขรสาติ[๕] 
          การสอนธรรมเป็นลำดับเช่นนี้ เป็นการปรับใจผู้ฟังให้สามารถเข้าใจอริยสัจจ ๔ นั้นเอง  ที่พระพุทธเจ้าตรัสเรื่องทุกข์ก่อนก็เพื่อเป็นการแสดงให้ปุถุชนมองเห็นทุกข์ที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดชีวิตของมนุษย์
          ต่อมาพระพุทธเจ้ามีพระประสงค์ให้ทราบเหตุของความทุกข์ต่าง ๆ ไม่ได้เกิดขึ้นตามลำพัง มีเหตุทำให้เกิดความทุกข์อยู่ เพื่อแสดงถึงเรื่องดังกล่าวจึงได้ตรัสสมุทัยเป็นอันดับสอง เหตุของความทุกข์ก็คือ สมุทัย
          ต่อมาพระพุทธเจ้ามีความประสงค์แสดงถึงเรื่องว่าที่ไม่มีทุกข์และสมุทัยก็มีอยู่ จึงตรัสนิโรธสัจ คือ นิพพาน และเพื่อเป็นการแสดงถึงแนวทางดับทุกข์พระพุทธเจ้าจึงตรัสมรรคมีองค์ ๘ 

               ๓. ความหมายของอริยสัจ ๔
.               อริยสัจถือว่าหัวใจคำสอนของพระพุทธเจ้า มีความหมายที่ลึกซึ่ง พระปัจเจกพุทธเจ้าก็มีการตรัสรู้อริยสัจด้วยพระองค์เองเช่นกัน แต่ไม่สามารถตรัสให้มนุษย์เข้าใจอริยสัจอย่างที่ท่านบรรลุ มีแค่สัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นที่สามารถตรัสรู้ด้วยพระองค์เองและสามารถตรัสได้ ซึ่งเป็นธรรมน่าศึกษาอย่างยิ่ง ความหมายของอริยสัจ ๔ มีดังต่อไปนี้
          ๓.๑ ความหมายของทุกข์นั้นพระพุทธเจ้าตรัสในธัมมจักกัปปวัตตนสูตรว่า "ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อนี้แลเป็นทุกขอริยสัจ คือ ความเกิดก็เป็นทุกข์ ความแก่ก็เป็นทุกข์ ความเจ็บไข้ก็เป็นทุกข์ ความตายก็เป็นทุกข์ ความประจวบด้วยสิ่งที่ไม่เป็นที่รักก็เป็นทุกข์ ความพลัดพรากจากสิ่งเป็นที่รักก็เป็นทุกข์ ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้นก็เป็นทุกข์โดยย่นย่อ อุปาทานขันธ์ ๕ เป็นทุกข์"[๖]  ถ้าพูดเป็นภาษาสมัยนี้ก็ทุกข์สัจ คือ ความไม่พอใจ ความเครียด ความผิดหวัง เป็นต้นไป พระพุทธเจ้าตรัสว่า ทุกข์สัจ คือ เป็นธรรมสิ่งที่ควรรู้
                ๓.๒ ความหมายของสมุทัยนั้นพระพุทธเจ้าตรัสในธัมมจักกัปปวัตตนสูตรว่า "ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อนี้แลเป็นทุกขสมุทัยอริยสัจ คือตัณหาอันทำให้เกิดอีก ประกอบด้วยความกำหนัดด้วยอำนาจความเพลิน มีปกติเพลิดเพลินในอารมณ์นั้นๆ คือ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา"[๗]  จึงสรุปได้ว่า ความทุกข์เกิดจากความอยากที่เรียกว่าตัณหานั้นเอง  ตัณหาจะแบ่งออกเป็น ๓ ประการ คือ
          ๓.๒.๑. "กามตัณหา ความทะยานอยากในกาม, ความอยากได้กามคุณ คือสิ่งสนองความต้องการทางประสาททั้งห้า"[๘] คือ ชอบรูป ชอบเสียง ชอบกลิ่น ชอบรส ชอบโผฏฐัพพะ แสวงหาความสุขเพื่อตนจะได้เสพ
          ๓.๒.๒. "ภวตัณหา ความทะยานอยากในภพ, ความอยากในภาวะของตัวตนที่จะได้  จะเป็นอย่างใดอย่างหนึ่ง  อยากเป็นอยากคงอยู่ตลอดไป,  ความใคร่อยากที่ประกอบด้วยภวทิฏฐิ   สัสสตทิฏฐิ"[๙] 
          ๓.๒.๓. "วิภวตัณหา ความทะยานอยากในวิภพ, ความอยากในความพรากพ้นไปแห่งตัวตนจากความเป็นอย่างใดอย่างหนึ่งอันไม่ปรารถนา  อยากทำลาย อยากให้ดับสูญ, ความใคร่อยากที่ประกอบด้วยวิภวทิฏฐิหรืออุจเฉททิฏฐิ"[๑๐] สรุปได้ว่า สมุทัยคือ ความยึดมั่นถือมั่น ที่เรียกว่าตัณหานั้นเอง หากว่าสามารถดับตัณหา ๓ ประการนี้แล้วทุกข์ก็จะไม่เกิดขึ้นอีก
          ๓.๓. นิโรธสัจ แปลว่า ความดับทุกข์ คือ นิพพานนั้นเอง ผู้ที่สามารถบรรลุนิโรธสัจก็คือ พระอริยบุคคลเท่านั้น
          ๓.๔. ความหมายของมรรคนั้นพระพุทธเจ้าตรัสในธัมมจักกัปปวัตตนสูตรว ว่า"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อนี้แลเป็นทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ คือ อริยมรรคมีองค์ ๘นี้แหละ  คือ ปัญญาอันเห็นชอบ ๑ ความดำริชอบ ๑ เจรจาชอบ ๑ การงานชอบ ๑ เลี้ยงชีวิตชอบ ๑ พยายามชอบ ๑ ระลึกชอบ ๑ ตั้งจิตชอบ ๑"[๑๑] มรรคมีองค์ ๘ นี้หากสรุปแล้วก็ คือ ศีลขันธ์อันประเสริฐ  สมาธิขันธ์อันประเสริฐ ปัญญาขันธ์อันประเสริฐนั้นเอง
          ๓.๔.๑. ศีลอันประเสริฐนั้น หมายความว่าไม่ใช้ศีลอย่างที่สามัญชนเขาถือกัน คือ ศีลวิสุทธิ  รักษาศีล ๔ บริสุทธิ์ ๑) รักษาศีลปฎิบัติในพระปาฏิโมกข์ ๒) สำรวมรักษาอินทรีย์หก ๓) เลี้ยงชีวิตดโดยชอบธรรมไม่ทำเนสนาที่พระพุทธเจ้าตรัสห้าม ๔) พิจารณาก่อนจึงบริโภคซึ่งปัจจัยสี่ ๓.๔.๒. สมาธิขันธ์อันประเสริฐ คือ อุปจารสมาธิ และอัปปนาสมาธิ
          ๓.๔.๓. ปัญญาขันธ์อันประเสริฐ คือ การกำหนดรู้การเกิดและการดับของนามรูป
           สรุปได้ว่า บุคคลใดบุคคลหนึ่งเมื่อรู้จักทุกขสัจจ์แล้วเจริญมรรคที่มีองค์ ๘ จนสามารถละตัณหาได้ก็จะได้ดับทุกข์ทันที่บุคคลเช่นนี้เองที่เรียกว่าท่านที่บรรลุธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า แม้ว่าจำได้พระไตรปิฎกก็หากไม่บรรลุอริยสัจ ๔ ยังไม่เรียกว่า ผู้บรรลุคำสอนของพระพุทธเจ้า 

           ๔. ประโยชน์ของการบรรลุอริยสัจ ๔
        ผู้ที่บรรลุอริยสัจ ๔ คือ พระอริยบุคคล ๔ จำพวกเท่านั้น ประโยชน์ของการบรรลุคำสอนของพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นอริยสัจ ๔ ที่พระอริยบุคคลจะได้รับนั้นพระองค์ท่านเปรียบน้ำที่วิดด้วยปลายหญ้าคา คือ
          ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สระโบกขรณียาว ๕๐ โยชน์  กว้าง ๕โยชน์ ลึก  ๕๐ โยชน์  มีน้ำเต็มเสมอขอบ กาดื่มกินได้ บุรุษพึงวิดน้ำขึ้นจากสระโบกขรณีนั้นด้วยปลายหญ้าคา  น้ำในสระโบกขรณีนี้แหละมากกว่าน้ำที่บุรุษ วิดขึ้นด้วยปลายหญ้าคามีประมาณน้อย   
          ฉันนั้นเหมือนกัน ความทุกข์ที่หมดไปสิ้นไปนี้แหละของบุคคลผู้เป็นพระอริยสาวกสมบูรณ์ด้วยทิฏฐิตรัสรู้แล้วเป็นทุกข์มากกว่า ส่วนที่เหลืออยู่มีประมาณน้อยความที่ทุกข์เป็นสภาพยิ่งใน ๗ อัตภาพ[๑๒]
         คือ ผู้ที่บรรลุคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริงนั้น ถ้าเป็นพระโสดาบัน สามารถละทิฏฐิ และวิจิกิจฉา ไม่มีความเห็นผิด รู้ในสิ่งที่เป็นประโยชน์ และสิ่งที่ไม่มีประโยชน์อย่างแท้จริง รู้จักวิธีการดำเนินชีวิตในปัจจุบันอย่างถูกต้อง ภพหน้าอย่างมากก็มีความทุกข์อีกในกามภูมิแค่ ๗ ภพ แล้วจะถึงพระนิพพาน สำหรับพระสกทาคามี จะกลับมาเกิดในกามภูมิเพียงครั้งเดียว จะถึงพระนิพพาน  พระอนาคามีเป็นผู้ที่ไม่เกิดในกามภูมิอีก แต่จะเกิดในพรหมโลกแล้วจะนิพพาน ส่วนพระอรหันต์นั้นสามารถละสังโยชน์ได้ครบ ๑๐ ประการ เพราะผลของการบรรลุอริยสัจ ๔

          ๕. ข้อสรุปผลและข้อเสนอแนะ
          สรุปได้ว่า พระพุทธเจ้าสอนให้รู้จักทุกข์ และสอนแนวทางดับทุกข์ ซึ่งเป็นความแห้งใจ ความคร่ำครวญ ความร่ำไร รำพัน ความลำบากทางกาย ความทุกข์ทางใจซึ่งเป็นปัญหาที่มนุษย์เราประสบอยู่ในปัจจุบัน
          จึงอยากจะเสนอแนะให้ผู้ที่ประสบปัญหาต่าง ในชีวิต เพื่อจะได้ดับปัญหาเหล่านั้น ควรมีสติ พิจารณาความเกิดดับของนามธรรมและรูปธรรม คือ เจริญมรรคมีองค์ ๘
          อีกนัยหนึ่ง ควรพิจารณาอริยสัจ ๔ ทุกวันซึ่งเรียกว่า ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐานก็เป็นแนวทางดับทุกข์เช่นกัน การพิจารณาอริยสัจ ๔ ถือว่าจำทำให้เกิดประโยชน์ย่างยิ่ง เช่นพระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนว่า
        เธอทั้งหลายจะตรึก พึงตรึกเรื่องทุกข์ ทุกขสมุทัย ทุกขนิโรธ และทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะความตรึกเหล่านี้ ประกอบด้วยประโยชน์เป็นพรหมจรรย์เบื้องต้น ย่อมเป็นไปเพื่อความหน่าย ความคลาย กำหนัด ความดับ ความสงบ ความรู้ยิ่ง ความตรัสรู้นิพพาน เธอทั้งหลาย พึง กระทำความเพียรเพื่อรู้ตามความเป็นจริง (๑๔)
          สรุปได้ว่า ธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าที่เรียกว่า อริยสัจ ๔ คือสิ่งที่ควรพิจารณากันจนให้เข้าใจถึงจุดที่เรียกว่าบรรลุ เมื่อบรรลุแล้วจะสามารถดับความเดือดร้อน คามเครียดของแต่ละคนแล้วทำให้ชีวิตได้อยู่เย็นเป็นสุขตลอดไป

   
        บรรณานุกรม
         ข้อมูลปฐมภูมิ
มหามกุฏราชวิทยาลัยมูลนิธิ. พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับสยามรัฐ เล่ม ๑, ๒, ๔, ๑๑, ๑๙,      กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๒๕.

          หนังสือทั่วไป

พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุโต), พจนานุกรมพุทธศาสตร์, (กรุงเทพมหานคร : มหาวิทยาลัยมหาจุฬา ลงกรณราชวิทยาลัย, พิมพ์ครั้งที่ ๑๒, ๒๕๔๖),


          [๑]วินย. ๖/๓๒/๓๘
          [๒]สุทธิ ๑/๒๘๘. 
          [๓]วิสุทธิ ๑/๒๘๘.  
          [๔]วิ.อ. ๑/๘.
          [๕]ที.สี. ๑๑/๑๗๖/๔๔๓.
          [๖]วิ.ม. ๔/๓๕๕/๑๕.
          [๗]วิ.ม. ๔/ ๓๕๕/ ๑๕.
          [๘]พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต), พจนานุกรมพุทธศาสตร์, (กรุงเทพมหานคร : มหาวิทยา- ลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, พิมพ์ครั้งที่ ๑๒, ๒๕๔๖), หน้า ๗๓.
          [๙]เรื่องเดียวกัน, หน้า ๗๓.  
          [๑๐]เรื่องเดียวกัน, หน้า ๗๓.   
          [๑๑]วิ.ม. ๔/๓๕๕/๑๕.
          [๑๒]สํ.นิ. ๒/๓๙๖.
          [๑๓]สัง. ๑๙/๑๖๖๐/๔๑๖
          ( ๑๔)สัง. ๑๙/๑๖๖๐/๔๑๖

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น