พระกิตติ กิตฺติสาโร
นักศึกษาปริญญาเอก มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย
หลังพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว พระพุทธเจ้าสอนให้เวไนยสัตว์ได้หลุดพ้นจากทุกข์เป็นเวลานาน
๔๕ พรรษา
จากพระมหาเถรในปฐมสังคายนามีการรวบรวมคำสอนของพระพุทธเจ้าได้แก่พระไตรปิฎก
ถือว่ามีจำนวนมากฉะนั้นจึงมีความประสงค์รู้ว่าเมื่อสรุปแล้วคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหมดมีอะไรบ้างดั้งนั้นจึงได้ดั้งใจค้นคว้าในพระไตรปิฎกและอรรถกถาแล้วเขียนเป็นบทความเรื่องพระพุทธเจ้าสอนอะไร
๑. องค์ประกอบคำสอนของพระพุทธเจ้า
เนื่องจากเป็นผู้ที่สร้างบารมีนานแล้ว ๔ อสงไขย
คำสอนของพระองค์ท่านปราศจักมลทินต่าง ๆ แล้ว ประกอบไปด้วยความงามต่าง ๆ และพระพุทธเจ้าทรงสอนชี่แจงให้สาวกของท่านสั่งสอนมนุษย์ด้วยความงดงามเช่นเดียวกัน
สมัยหนึ่งพระพุทธเจ้าตรัสแก่สาวกว่า "จงแสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง
งามในที่สุด จงประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถพร้อมทั้งพยัญชนะ ครบบริบูรณ์บริสุทธิ์[๑]
จึงพุดได้ว่า
คำสอนของพระพุทธเจ้าไม่มีข้อบก พร่องใด ๆ ทั้งสิ้น คนเราอาจจะมีข้อสงสัยว่า
ความงามของคำสอนพระพุทธเจ้านั้น เป็นเช่นไร
อรรถกถาจารย์จึงกล่าวไว้คำหมายของคำไว้ต่าง ๆ
ความของคำว่า "ธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง
งามในที่สุด" นั้น อรรถกถาจารย์มีคำอธิบายขยายคำไว้หลายประการ
คือ "งามในเบื้องต้นด้วยศีลและสมาธิ งานในท่ามกลางด้วยวิปัสสนาและมรรค
งามในเบื้องปลายด้วยพระนิพพนาน[๒] อีกนัยหนึ่ง คือ "งามในเบื้องต้นด้วยศีลอันเป็นรากฐานของตน งามในท่ามกลางด้วยสมถวิปัสสนาและมรรคผล
งานในเบื้องปลายด้วยพระนิพพาน"[๓]
อีกนัยหนึ่ง
ที่อธิบายไว้ธรรมงามเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด คือ
"อนึ่ง
ศาสนธรรมนั้น เมื่อสาธุชนสดับอยู่ ย่อมนำมาแต่ความงามฝ่าย เดียวแม้ด้วยการสดับ เพราะจะข่มนิวรณธรรมไว้ได้ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่ามีความ งามในเบื้องต้น เมื่อสาธุชนปฏิบัติอยู่ ก็ย่อม นำมาแต่ความงามฝ่ายเดียว แม้ด้วยการปฏิบัติ เพราะจะนำมาแต่ความสุขอันเกิดแต่สมถะและวิปัสสนา
เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า มีความงามในท่ามกลาง. และเมื่อสาธุชนปฏิบัติแล้วโดยประการนั้น ก็ ย่อมนำมาแต่ความงามเช่นเดียวกัน แม้ด้วยผลแห่งการปฏิบัติ เพราะจะนำความ เป็นผู้คงที่มาให้
ในเมื่อได้สำเร็จผลแห่งการปฏิบัติแล้ว เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า มีความงามในที่สุด"[๔]
จึงสรุปได้ว่า
คำสอนของพระพุทธเจ้าประกอบได้ด้วยความงดงามแต่ต้น กลาง และปลาย จึงมั่นใจได้ว่าหากว่าปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธองค์ก็ชีวิตจะมีความงดงามตั้งแต่ต้น
กลาง และปลายเช่นเดียวกัน
๒. ลำดับการสอนของพระพุทธเจ้า
ธรรมที่มีความงดงามเหล่านั้นเมื่อพระพุทธเจ้าสอนก็จะสอนเป็นลำดับ เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสธรรมให้แก่ผู้ที่เป็นอุคคฏิตัญญู
พวกที่มีสติปัญญาฉลาดเฉลียวนั้น
พระองค์จะแสดงธรรมเรื่องอริยสัจ ๔ อย่างเช่น พระพุทธเจ้าตรัสอริยสัจให้แก่พระปัญจวัคคีย์
แต่หากแสดงธรรมให้ผู้ที่เป็นคฤหัสถ์ ที่มีจิตใจยังไม่บริสุทธิ์
ยังไม่ปราศจากนิวรณ์นั้น จะตรัสธรรมอนุปุพพิกถาให้จิตใจบริสุทธิ์ปราศจากนิวรณ์แล้วจึงจะตรัสเรื่องทุกข์
สมุทัย นิโรธ มรรค อาทิเช่น
พระผู้มีพระภาคเจ้า
ได้ตรัสอนุปุพพิกถาแก่พราหมณ์โปกขรสาติ คือ ประกาศทานกถา สีลกถา สัคคกถา โทษของกามที่ต่ำช้าเศร้าหมอง และอานิสงส์
ในการออกจากกาม เมื่อทรงทราบว่าพราหมณ์โปกขรสาติมีจิต คล่องมีจิตอ่อน มีจิตปราศจากนิวรณ์ มีจิตสูงมีจิตผ่องใสแล้ว จึงทรง ประกาศพระธรรมเทศนาที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงยกขึ้นแสดงด้วยพระองค์เอง คือ
ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค โปรดพราหมณ์โปกขรสาติ[๕]
การสอนธรรมเป็นลำดับเช่นนี้ เป็นการปรับใจผู้ฟังให้สามารถเข้าใจอริยสัจจ ๔
นั้นเอง
ที่พระพุทธเจ้าตรัสเรื่องทุกข์ก่อนก็เพื่อเป็นการแสดงให้ปุถุชนมองเห็นทุกข์ที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดชีวิตของมนุษย์
ต่อมาพระพุทธเจ้ามีพระประสงค์ให้ทราบเหตุของความทุกข์ต่าง
ๆ ไม่ได้เกิดขึ้นตามลำพัง มีเหตุทำให้เกิดความทุกข์อยู่
เพื่อแสดงถึงเรื่องดังกล่าวจึงได้ตรัสสมุทัยเป็นอันดับสอง เหตุของความทุกข์ก็คือ สมุทัย
ต่อมาพระพุทธเจ้ามีความประสงค์แสดงถึงเรื่องว่าที่ไม่มีทุกข์และสมุทัยก็มีอยู่
จึงตรัสนิโรธสัจ คือ นิพพาน และเพื่อเป็นการแสดงถึงแนวทางดับทุกข์พระพุทธเจ้าจึงตรัสมรรคมีองค์
๘
๓. ความหมายของอริยสัจ ๔
. อริยสัจถือว่าหัวใจคำสอนของพระพุทธเจ้า
มีความหมายที่ลึกซึ่ง พระปัจเจกพุทธเจ้าก็มีการตรัสรู้อริยสัจด้วยพระองค์เองเช่นกัน
แต่ไม่สามารถตรัสให้มนุษย์เข้าใจอริยสัจอย่างที่ท่านบรรลุ
มีแค่สัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นที่สามารถตรัสรู้ด้วยพระองค์เองและสามารถตรัสได้ ซึ่งเป็นธรรมน่าศึกษาอย่างยิ่ง
ความหมายของอริยสัจ ๔ มีดังต่อไปนี้
๓.๑ ความหมายของทุกข์นั้นพระพุทธเจ้าตรัสในธัมมจักกัปปวัตตนสูตรว่า
"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อนี้แลเป็นทุกขอริยสัจ คือ ความเกิดก็เป็นทุกข์
ความแก่ก็เป็นทุกข์ ความเจ็บไข้ก็เป็นทุกข์ ความตายก็เป็นทุกข์
ความประจวบด้วยสิ่งที่ไม่เป็นที่รักก็เป็นทุกข์
ความพลัดพรากจากสิ่งเป็นที่รักก็เป็นทุกข์
ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้นก็เป็นทุกข์โดยย่นย่อ อุปาทานขันธ์ ๕ เป็นทุกข์"[๖] ถ้าพูดเป็นภาษาสมัยนี้ก็ทุกข์สัจ
คือ ความไม่พอใจ ความเครียด ความผิดหวัง เป็นต้นไป พระพุทธเจ้าตรัสว่า ทุกข์สัจ
คือ เป็นธรรมสิ่งที่ควรรู้
๓.๒ ความหมายของสมุทัยนั้นพระพุทธเจ้าตรัสในธัมมจักกัปปวัตตนสูตรว่า
"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อนี้แลเป็นทุกขสมุทัยอริยสัจ คือตัณหาอันทำให้เกิดอีก ประกอบด้วยความกำหนัดด้วยอำนาจความเพลิน
มีปกติเพลิดเพลินในอารมณ์นั้นๆ คือ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา"[๗] จึงสรุปได้ว่า ความทุกข์เกิดจากความอยากที่เรียกว่าตัณหานั้นเอง
ตัณหาจะแบ่งออกเป็น ๓ ประการ คือ
๓.๒.๑. "กามตัณหา
ความทะยานอยากในกาม, ความอยากได้กามคุณ คือสิ่งสนองความต้องการทางประสาททั้งห้า"[๘]
คือ ชอบรูป ชอบเสียง ชอบกลิ่น ชอบรส ชอบโผฏฐัพพะ แสวงหาความสุขเพื่อตนจะได้เสพ
๓.๒.๒. "ภวตัณหา ความทะยานอยากในภพ,
ความอยากในภาวะของตัวตนที่จะได้
จะเป็นอย่างใดอย่างหนึ่ง
อยากเป็นอยากคงอยู่ตลอดไป, ความใคร่อยากที่ประกอบด้วยภวทิฏฐิ สัสสตทิฏฐิ"[๙]
๓.๒.๓. "วิภวตัณหา
ความทะยานอยากในวิภพ,
ความอยากในความพรากพ้นไปแห่งตัวตนจากความเป็นอย่างใดอย่างหนึ่งอันไม่ปรารถนา อยากทำลาย อยากให้ดับสูญ,
ความใคร่อยากที่ประกอบด้วยวิภวทิฏฐิหรืออุจเฉททิฏฐิ"[๑๐]
สรุปได้ว่า สมุทัยคือ ความยึดมั่นถือมั่น ที่เรียกว่าตัณหานั้นเอง หากว่าสามารถดับตัณหา
๓ ประการนี้แล้วทุกข์ก็จะไม่เกิดขึ้นอีก
๓.๓.
นิโรธสัจ
แปลว่า ความดับทุกข์ คือ นิพพานนั้นเอง ผู้ที่สามารถบรรลุนิโรธสัจก็คือ
พระอริยบุคคลเท่านั้น
๓.๔. ความหมายของมรรคนั้นพระพุทธเจ้าตรัสในธัมมจักกัปปวัตตนสูตรว
ว่า"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อนี้แลเป็นทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ คือ
อริยมรรคมีองค์ ๘นี้แหละ คือ ปัญญาอันเห็นชอบ
๑ ความดำริชอบ ๑ เจรจาชอบ ๑ การงานชอบ ๑ เลี้ยงชีวิตชอบ ๑ พยายามชอบ ๑ ระลึกชอบ ๑
ตั้งจิตชอบ ๑"[๑๑]
มรรคมีองค์ ๘ นี้หากสรุปแล้วก็ คือ ศีลขันธ์อันประเสริฐ สมาธิขันธ์อันประเสริฐ ปัญญาขันธ์อันประเสริฐนั้นเอง
๓.๔.๑. ศีลอันประเสริฐนั้น
หมายความว่าไม่ใช้ศีลอย่างที่สามัญชนเขาถือกัน คือ ศีลวิสุทธิ รักษาศีล ๔ บริสุทธิ์ ๑)
รักษาศีลปฎิบัติในพระปาฏิโมกข์ ๒)
สำรวมรักษาอินทรีย์หก ๓) เลี้ยงชีวิตดโดยชอบธรรมไม่ทำเนสนาที่พระพุทธเจ้าตรัสห้าม ๔)
พิจารณาก่อนจึงบริโภคซึ่งปัจจัยสี่ ๓.๔.๒. สมาธิขันธ์อันประเสริฐ คือ
อุปจารสมาธิ และอัปปนาสมาธิ
๓.๔.๓. ปัญญาขันธ์อันประเสริฐ คือ
การกำหนดรู้การเกิดและการดับของนามรูป
สรุปได้ว่า
บุคคลใดบุคคลหนึ่งเมื่อรู้จักทุกขสัจจ์แล้วเจริญมรรคที่มีองค์ ๘
จนสามารถละตัณหาได้ก็จะได้ดับทุกข์ทันที่บุคคลเช่นนี้เองที่เรียกว่าท่านที่บรรลุธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า
แม้ว่าจำได้พระไตรปิฎกก็หากไม่บรรลุอริยสัจ ๔ ยังไม่เรียกว่า
ผู้บรรลุคำสอนของพระพุทธเจ้า
๔.
ประโยชน์ของการบรรลุอริยสัจ ๔
ผู้ที่บรรลุอริยสัจ ๔ คือ
พระอริยบุคคล ๔ จำพวกเท่านั้น ประโยชน์ของการบรรลุคำสอนของพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นอริยสัจ
๔ ที่พระอริยบุคคลจะได้รับนั้นพระองค์ท่านเปรียบน้ำที่วิดด้วยปลายหญ้าคา คือ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สระโบกขรณียาว ๕๐ โยชน์ กว้าง ๕โยชน์ ลึก
๕๐ โยชน์ มีน้ำเต็มเสมอขอบ กาดื่มกินได้ บุรุษพึงวิดน้ำขึ้นจากสระโบกขรณีนั้นด้วยปลายหญ้าคา น้ำในสระโบกขรณีนี้แหละมากกว่าน้ำที่บุรุษ วิดขึ้นด้วยปลายหญ้าคามีประมาณน้อย
ฉันนั้นเหมือนกัน ความทุกข์ที่หมดไปสิ้นไปนี้แหละของบุคคลผู้เป็นพระอริยสาวกสมบูรณ์ด้วยทิฏฐิตรัสรู้แล้วเป็นทุกข์มากกว่า ส่วนที่เหลืออยู่มีประมาณน้อยความที่ทุกข์เป็นสภาพยิ่งใน
๗ อัตภาพ[๑๒]
คือ ผู้ที่บรรลุคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริงนั้น
ถ้าเป็นพระโสดาบัน สามารถละทิฏฐิ และวิจิกิจฉา ไม่มีความเห็นผิด
รู้ในสิ่งที่เป็นประโยชน์ และสิ่งที่ไม่มีประโยชน์อย่างแท้จริง
รู้จักวิธีการดำเนินชีวิตในปัจจุบันอย่างถูกต้อง ภพหน้าอย่างมากก็มีความทุกข์อีกในกามภูมิแค่
๗ ภพ แล้วจะถึงพระนิพพาน สำหรับพระสกทาคามี จะกลับมาเกิดในกามภูมิเพียงครั้งเดียว
จะถึงพระนิพพาน
พระอนาคามีเป็นผู้ที่ไม่เกิดในกามภูมิอีก แต่จะเกิดในพรหมโลกแล้วจะนิพพาน
ส่วนพระอรหันต์นั้นสามารถละสังโยชน์ได้ครบ ๑๐ ประการ เพราะผลของการบรรลุอริยสัจ ๔
๕. ข้อสรุปผลและข้อเสนอแนะ
สรุปได้ว่า
พระพุทธเจ้าสอนให้รู้จักทุกข์ และสอนแนวทางดับทุกข์ ซึ่งเป็นความแห้งใจ
ความคร่ำครวญ ความร่ำไร รำพัน ความลำบากทางกาย
ความทุกข์ทางใจซึ่งเป็นปัญหาที่มนุษย์เราประสบอยู่ในปัจจุบัน
จึงอยากจะเสนอแนะให้ผู้ที่ประสบปัญหาต่าง
ในชีวิต เพื่อจะได้ดับปัญหาเหล่านั้น ควรมีสติ พิจารณาความเกิดดับของนามธรรมและรูปธรรม
คือ เจริญมรรคมีองค์ ๘
อีกนัยหนึ่ง ควรพิจารณาอริยสัจ ๔
ทุกวันซึ่งเรียกว่า ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐานก็เป็นแนวทางดับทุกข์เช่นกัน
การพิจารณาอริยสัจ ๔ ถือว่าจำทำให้เกิดประโยชน์ย่างยิ่ง เช่นพระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนว่า
เธอทั้งหลายจะตรึก
พึงตรึกเรื่องทุกข์ ทุกขสมุทัย ทุกขนิโรธ และทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาข้อนั้นเพราะเหตุไร
เพราะความตรึกเหล่านี้ ประกอบด้วยประโยชน์เป็นพรหมจรรย์เบื้องต้น ย่อมเป็นไปเพื่อความหน่าย
ความคลาย กำหนัด ความดับ ความสงบ ความรู้ยิ่ง ความตรัสรู้นิพพาน เธอทั้งหลาย พึง กระทำความเพียรเพื่อรู้ตามความเป็นจริง (๑๔)
สรุปได้ว่า ธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าที่เรียกว่า
อริยสัจ ๔ คือสิ่งที่ควรพิจารณากันจนให้เข้าใจถึงจุดที่เรียกว่าบรรลุ เมื่อบรรลุแล้วจะสามารถดับความเดือดร้อน
คามเครียดของแต่ละคนแล้วทำให้ชีวิตได้อยู่เย็นเป็นสุขตลอดไป
บรรณานุกรม
ข้อมูลปฐมภูมิ
มหามกุฏราชวิทยาลัยมูลนิธิ.
พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับสยามรัฐ เล่ม ๑, ๒, ๔, ๑๑, ๑๙, กรุงเทพมหานคร :
โรงพิมพ์มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๒๕.
หนังสือทั่วไป
พระธรรมปิฎก
(ป.อ. ปยุโต), พจนานุกรมพุทธศาสตร์, (กรุงเทพมหานคร : มหาวิทยาลัยมหาจุฬา ลงกรณราชวิทยาลัย,
พิมพ์ครั้งที่ ๑๒, ๒๕๔๖),
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น